วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เทคนิคการอ่านหนังสือเรียน อย่างฉลาด
ผู้เรียนส่วนใหญ่ต้องเสียเวลากับการอ่านหนังสือ ตำราเรียนมากเกินควร เนื่องจากการอ่านที่ขาดประสิทธิภาพ คืออ่านทุกตัวอักษร ทุกประโยคไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้งยังพยายามอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อท่องจำสิ่งที่อ่านให้ขึ้นใจ ทำให้ยิ่งเสียเวลาเข้าไปใหญ่ การจะลด เวลาที่เกินควรไปนั้น เราต้องอ่านอย่างมีวัตถุประสงค์ มีการวางแผนล่วงหน้า มีการทวนความเข้าใจหลังอ่านจบแล้ว ซึ่งวิธีอ่านอย่างฉลาดที่ว่าคือ
วิธี อ่านแบบ ORUS
วิธีอ่านแบบ ORUS เป็นวิธีอ่านเพื่อการเรียน ที่ผู้เรียนสามารถข้ามขั้นตอนบางขั้นได้ แต่ห้ามข้ามขั้นสุดท้ายใน 4 ขั้นตอนต่อไปนี้
1.1 สำรวจ (Overview) องค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งที่จะต้องอ่าน ซึ่งมีดังนี้
- ชื่อบท หัวข้อใหญ่ และหัวข้อย่อย ที่พิมพ์ตัวหนา สิ่งเหล่านี้จะบอกถึงขอบเขตและลักษณะของเนื้อหาอย่างคร่าวๆ
- รูปภาพ กราฟ และแผนภูมิ หนังสือวิชาการส่วนใหญ่จะมีสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งภาพประกอบประเภทอื่นๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาประเด็นสำคัญๆ ได้มากขึ้น
- สรุป อ่านแบบผ่านๆ (Skimming) ดูว่าสิ่งที่ผู้แต่งต้องการนำเสนอคืออะไร เพื่อเวลาอ่านจริงๆ เราจะได้มุ่งตรงไปยังเนื้อหาสำคัญทั้งหลาย ไม่เสียเวลาไปกับการอ่านส่วนที่เป็นน้ำ ในกรณีที่ผู้แต่งไม่ได้เขียนบอกไว้ว่าตรงไหนเป็นบทสรุป ให้ลองอ่านย่อหน้าสุดท้ายของเรื่อง
- คำถาม คือสิ่งที่บอกให้เรารู้ว่าเนื้อหาส่วนไหนในเรื่องที่เราต้องให้ความสนใจเป็น พิเศษ เพราะผู้แต่งมักจะถามถึงสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง
หลังจากรู้คร่าวๆ แล้วว่าเรื่องที่จะอ่านมันเกี่ยวกับอะไร สิ่งไหนน่าจะเป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง เราก็ต้องวางแผนการอ่าน โดยแบ่งเนื้อหาทั้งหมดออกเป็นส่วนๆ และกำหนดเวลาในการอ่านของแต่ละส่วน ทั้งนี้ให้รวมเวลาที่จะใช้ในการเก็บข้อมูลและสรุปความเข้าใจด้วย
1.2 อ่าน (Read) ด้วยความรวดเร็ว คัดเอาแต่ใจความสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ประโยคแรกหรือสุดท้ายของย่อหน้า โดยไม่มีการหยุด ให้ทำเหมือนกับว่าเรากำลังคุยกับผู้แต่ง เหมือนเขากำลังอธิบายบางสิ่งให้เราเข้าใจ ดังนั้นถ้ามีตรงไหนสงสัยไม่เข้าใจก็ให้เขียนคำถามไว้ตรงขอบของหน้ากระดาษ ใกล้ๆ กับส่วนที่เราไม่เข้าใจ
ข้อความไหนที่รู้ว่าไม่สำคัญสำหรับเราก็ ให้ข้ามไปได้ ไม่ต้องกังวลว่าเราจะไม่เข้าใจทั้งหมด
1.3 เก็บข้อมูล (pick Up) เป็นการนำสาระสำคัญทั้งหลายเข้าสู่ธนาคารความจำของเรา โดยกลับไปดูสิ่งที่เพิ่งอ่าน แล้ว :
- ขีดเส้นใต้หรือทำเครื่องหมายดอกจัน (*) ไว้ตรงที่สำคัญๆ หรือตรงข้อความที่เราคิดว่าอาจถูกนำมาออกข้อสอบเท่านั้น อย่าขีดเส้นให้เปรอะไปหมด
- เขียนโน้ตสั้นๆ ไว้ที่ขอบของหน้าหนังสือ
1.4 สรุปความเข้าใจ (Summarize) โดยใช้คำพูดของเรา
ที่มา : unigang
http://campus.sanook.com/เทคนิค การอ่าน%20หนังสือ-923876.html
เทคนิคพัฒนาความจำ(สำหรับ ผู้ที่กำลังเรียนหนังสือ)
เทคนิคพัฒนาความจำ(สำหรับ ผู้ที่กำลังเรียนหนังสือ)
1. ใส่ใจกับสิ่งที่เรียนมากกว่าสิ่งอื่นต้องมีสมาธิเพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ส่ง ผ่านความจำระยะสั้นเข้าส่ความจำระยะยาว จึงเลือกมุมการเรียนที่ปราศจากสิ่งรบกวนใดๆ
2. สร้างนิสัยรักการอ่านอย่างสม่ำเสมอ มีผลจากการวิจัยพบว่าการอ่านอย่างต่อเนื่องนั้นผลที่ออกมาดีกว่าคนที่รีบ เร่งอ่านหนงสือช่วงสอบ
3. สร้างโครงสร้างและจัดระบบของเนื่อหาที่ศึกษา เมื่อเนื้อหาถูกจัดเป็นกล่ม เช่น จัดเป็นภาพแผนภูมิ โมเดล หัวข้อ จัดกล่มส่วนที่เหมือนเข้าด้วยกัน หรือแยกส่วนที่ต่างออกจากกัน จะช่วยให้การจดบัญทึกมีระบบระเบียบ และเมื่อนำไปใช้ในการเรียนรู้ระดับสูง เช่น การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ก็จำทำได้ดีขึ้น
4. ใช้เครื่องมือช่วยจำ เช่น ตัวย่อ หรือบัญทึกเป็นเพลง หรือกลอน เช่น KUSA - Knowledge - Uderstanding - Skll - Appearance= สิ่งสำคัญในการเตรียมตัวสมัครงาน
5. ใช้ตัวอย่างอธิบายช่วยจำ เมื่อจดจำคำศัพท์เฉพาะ หรือนิยาม บางที่เราอาจจำคำจำกัดความทั้งหมดไม่ได้ แต่หากอ่านคำอธิบายหรือตัวอย่างที่ประกอบซ้ำก็จะช่วยให้เข้าใจความหมายหรือ คำจำกัดความของคำเฉพาะเหล่านั้นได้ดีขึ้น

6. สร้างความหมาย หรือสัมพันธ์กับบางสิ่งที่เรียนรู้แล้ว เมื่อเริ่มเรียนเรื่องใหม่ ใช้เวลาย้อนทบทวนเรื่องที่เคยรู้มาก่อน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องใหม่ความคิดใหม่ กับความรู้ที่มีแล้ว จะช่วยให้สามารถระลึกเนื้อหาออกมาได้อย่างจำนวนมาก
7. ใช้ภาพในการสื่อความหมาย มีคำพูดว่า "รูปภาพ 1 ภาพ สื่อความหมายได้มากกว่า 100 คำ" บางคนใช้ประโยชน์ได้ดีกับความจำแบบกล้องถ่ายรูป เมื่อศึกษาลองให้ความสนใจกบรูปภาพแผนภูมิ และภาพวาดประกอบในหนังสือ หรืออาจวาดภาพของตนเอง ใช้สีที่แตกต่างเพื่อแสดงถึงองค์ประกอบที่แตกต่าง ความจำแบบกล้องถ่ายรูปที่นักศึกษาเก็บไว้ เมื่อจะระลึกถึงเนื้อหาก็สามารถจะนำเป็นภาพออกมาทั้งโครงสร้างและนำมาขยาย ความ และเชื่อมโยงให้ชัดเจนเพิ่มขึ้น

8. แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน การวิจัยเสนอแนะว่า การอ่านหนังสือเสียงดังๆให้คนอื่น จะช่วยส่งเสริมความจำ นักจิตวิทยาพบว่าถ้าให้นักเรียน"สอน" เพื่อน ก็จะช่วยให้เขาเข้าใจบทเรียนได้ดี และพัฒนาความจำได้ด้วย
9. ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเนื้อหาส่วนที่ยาก
10. พยายามฝึกตัวเองให้เรียนที่ไหนก็ได้ อ่านเมื่อไหร่ก็ได้ พยายามปรับเปลี่ยนช่วงเวลาอ่านหนังสือบ้าง จะทำให้นักศึกษามีลักษณะยืดหยุ่น และมีความฉับไวมากขึ้นในการดึงความจำระยะยาวออกมาใช้งาน
หากเราสามารถรู้จักวิธีการเปลี่ยนระหัสข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ เป็นความจำ และมีการเก็บสะสมข้อมูลหรือความจำได้อย่างเป็นระบบ มีกระบวนการเรียกความจำที่เป็นประโยชน์มาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราก็สามารถพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม
ที่มา : unigang
http://campus.sanook.com/เทคนิค พัฒนาความจำ-923798.html
1. ใส่ใจกับสิ่งที่เรียนมากกว่าสิ่งอื่นต้องมีสมาธิเพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ส่ง ผ่านความจำระยะสั้นเข้าส่ความจำระยะยาว จึงเลือกมุมการเรียนที่ปราศจากสิ่งรบกวนใดๆ
2. สร้างนิสัยรักการอ่านอย่างสม่ำเสมอ มีผลจากการวิจัยพบว่าการอ่านอย่างต่อเนื่องนั้นผลที่ออกมาดีกว่าคนที่รีบ เร่งอ่านหนงสือช่วงสอบ
3. สร้างโครงสร้างและจัดระบบของเนื่อหาที่ศึกษา เมื่อเนื้อหาถูกจัดเป็นกล่ม เช่น จัดเป็นภาพแผนภูมิ โมเดล หัวข้อ จัดกล่มส่วนที่เหมือนเข้าด้วยกัน หรือแยกส่วนที่ต่างออกจากกัน จะช่วยให้การจดบัญทึกมีระบบระเบียบ และเมื่อนำไปใช้ในการเรียนรู้ระดับสูง เช่น การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ก็จำทำได้ดีขึ้น
4. ใช้เครื่องมือช่วยจำ เช่น ตัวย่อ หรือบัญทึกเป็นเพลง หรือกลอน เช่น KUSA - Knowledge - Uderstanding - Skll - Appearance= สิ่งสำคัญในการเตรียมตัวสมัครงาน
5. ใช้ตัวอย่างอธิบายช่วยจำ เมื่อจดจำคำศัพท์เฉพาะ หรือนิยาม บางที่เราอาจจำคำจำกัดความทั้งหมดไม่ได้ แต่หากอ่านคำอธิบายหรือตัวอย่างที่ประกอบซ้ำก็จะช่วยให้เข้าใจความหมายหรือ คำจำกัดความของคำเฉพาะเหล่านั้นได้ดีขึ้น

6. สร้างความหมาย หรือสัมพันธ์กับบางสิ่งที่เรียนรู้แล้ว เมื่อเริ่มเรียนเรื่องใหม่ ใช้เวลาย้อนทบทวนเรื่องที่เคยรู้มาก่อน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องใหม่ความคิดใหม่ กับความรู้ที่มีแล้ว จะช่วยให้สามารถระลึกเนื้อหาออกมาได้อย่างจำนวนมาก
7. ใช้ภาพในการสื่อความหมาย มีคำพูดว่า "รูปภาพ 1 ภาพ สื่อความหมายได้มากกว่า 100 คำ" บางคนใช้ประโยชน์ได้ดีกับความจำแบบกล้องถ่ายรูป เมื่อศึกษาลองให้ความสนใจกบรูปภาพแผนภูมิ และภาพวาดประกอบในหนังสือ หรืออาจวาดภาพของตนเอง ใช้สีที่แตกต่างเพื่อแสดงถึงองค์ประกอบที่แตกต่าง ความจำแบบกล้องถ่ายรูปที่นักศึกษาเก็บไว้ เมื่อจะระลึกถึงเนื้อหาก็สามารถจะนำเป็นภาพออกมาทั้งโครงสร้างและนำมาขยาย ความ และเชื่อมโยงให้ชัดเจนเพิ่มขึ้น

8. แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน การวิจัยเสนอแนะว่า การอ่านหนังสือเสียงดังๆให้คนอื่น จะช่วยส่งเสริมความจำ นักจิตวิทยาพบว่าถ้าให้นักเรียน"สอน" เพื่อน ก็จะช่วยให้เขาเข้าใจบทเรียนได้ดี และพัฒนาความจำได้ด้วย
9. ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเนื้อหาส่วนที่ยาก
10. พยายามฝึกตัวเองให้เรียนที่ไหนก็ได้ อ่านเมื่อไหร่ก็ได้ พยายามปรับเปลี่ยนช่วงเวลาอ่านหนังสือบ้าง จะทำให้นักศึกษามีลักษณะยืดหยุ่น และมีความฉับไวมากขึ้นในการดึงความจำระยะยาวออกมาใช้งาน
หากเราสามารถรู้จักวิธีการเปลี่ยนระหัสข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ เป็นความจำ และมีการเก็บสะสมข้อมูลหรือความจำได้อย่างเป็นระบบ มีกระบวนการเรียกความจำที่เป็นประโยชน์มาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราก็สามารถพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม
ที่มา : unigang
http://campus.sanook.com/เทคนิค พัฒนาความจำ-923798.html
วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ประวัติศาสตร์อิสราเอล 10 สมัย (ฉบับย่อ)
ประวัติศาสตร์อิสราเอล 10 สมัย (ฉบับย่อ)
ประวัติศาสตร์, อิสราเอล
1. บรรพชนต้นตระกูลอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 200-1550)
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้เป็น ช่วงที่ประชาชนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ กำลังแสวงหาที่ สำหรับตั้งถิ่นฐาน เพื่อทำมาหากิน ในบรรดาคนเหล่านั้น มีอับราฮัมและเชื้อสายของท่านคือ อิสอัค เอซาว ยาโคบ และบุตรชาย 12 ของยาโคบ ซึ่งมีโยเซฟรวมอยู่ด้วย พวกเขาอพยพออกจาก เมโสโปเตเมีย ไปยังปาเลสไตน์ และอียิปต์ หลังจาก ก.ค.ศ. 1550 อียิปต์สามารถกอบกู้เอกราช กลับคืนมาจากชนชาติเร่ร่อน ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน พวกอิสราเอล จึงกลายเป็นทาส ในประเทศอียิปต์
2. การอพยพ (ประมาณ ก.ค.ศ. 1550-1250)
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ อียิปต์มีอำนาจมาก สามารถควบคุมดินแดนปาเลสไตน์ได้ ส่วนใหญ่ เชื้อสายของอับราฮัม ตกเป็นทาสในอียิปต์ ต่อมาโมเสส ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า ให้นำอิสราเอล ออกจากอียิปต์ ไปภูเขาซีนาย ที่นั่น พวกเขาได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้า และได้รับพระบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นแนวทาง สำหรับ การรับใช้ พระเจ้า และปฏิบัติต่อกันและกัน
3. อิสราเอล 12 เผ่า (ประมาณ ก.ค.ศ.1250-1000)
ช่วงนี้ประเทศอียิปต์อ่อนกำลังลงจนแทบไม่มีอำนาจควบคุมปาเลสไตน์ คนเผ่าเร่ร่อนหลายเผ่า รวมทั้งอิสราเอล กำลังต่อสู้กัน เพื่อช่วงชิงอำนาจปกครอง แผ่นดินปาเลสไตน์ โยชูวานำอิสราเอล เข้าสู่แผ่นดินปาเลสไตน์ มีผู้วินิจฉัย จำนวนหนึ่ง ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นผู้นำ ทำหน้าที่ช่วยเหลือพวกเขา เมื่อเกิดความขัดแย้ง กับคนต่างชาติ ซึ่งมีพวกฟีลิสเตีย เป็นคู่อริที่อันตรายที่สุด
4. กษัตริย์องค์แรกๆ ของอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 1000-922)
ช่วงนี้พวกฟีลิสเตียเป็นเผ่าที่คุกคามอิสราเอลอย่างหนัก ไม่มีผู้วินิจฉัยคนใด สามารถยับยั้งพวกฟีลิสเตีย ที่กำลังเข้าคุกคาม ดินแดนของพวกอิสราเอลได้ ซามูเอลจึงเลือกซาอูล และดาวิด ให้เป็นกษัตริย์ ของพวกอิสราเอล โดยให้กษัตริย์เป็นผู้สร้างกองทัพ เพื่อพิชิตดินแดนปาเลสไตน์ กษัตริย์ซาอูลล้มเหลว แต่กษัตริย์ดาวิด ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง สามารถเอาชนะพวกฟีลิสเตีย และราชอาณาจักรต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ปาเลสไตน์ ยุคนี้เป็นยุคที่อิสราเอลมีอำนาจสูงสุด กษัตริย์ซาโลมอนโอรสของดาวิด ได้สร้างพระวิหาร และอาคารต่างๆ มากมาย ที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็เก็บภาษีประชาชนอย่างหนัก
5. สองราชอาณาจักร (ประมาณ ก.ค.ศ. 922-802)
หลังจากที่ซาโลมอนสิ้นพระชนม์แล้ว ก็เกิดสงครามกลางเมืองในอิสราเอล ทำให้ราชอาณาจักร ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ราชอาณาจักร ยูดาห์ อยู่ด้านใต้ ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์ดาวิด ราชอาณาจักรอิสราเอล อยู่ด้านเหนือ ปกครองโดยกษัตริย์ ที่พวกผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้เลือกสรร
6. สมัยจักรวรรดิอัสซีเรียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 802-610)
ช่วงต้นของบทนี้ ไม่มีชาติใดที่มีอำนาจมากพอ ที่จะเข้าควบคุมอิสราเอล ทั้ง 2 ราชอาณาจักร จึงมีสันติสุข และ เจริญรุ่งเรือง แต่ผู้เผยพระวจนะ อาโมส และ โฮเชยา ประณามความอยุติธรรม ในสังคม ท่านทั้งสอง เตือนภัย ที่กำลังจะมาถึง กษัตริย์องค์ใหม่ของอัสซีเรีย ขึ้นครองอำนาจ และสามารถพิชิต ราชอาณาจักรอิสราเอลได้ เมื่อ 721 ปี ก่อนคริสตกาล ประชาชน ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ส่วนราชอาณาจักรยูดาห์ ยอมจำนน แต่ก็ก่อการกบฏ บ่อยครั้ง แต่ก็ถูกอัสซีเรีย ควบคุมไว้ได้ โดยที่อียิปต์ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ ขอร้องให้ ประชาชน วางใจในพระเจ้า
7. สมัยจักรวรรดิบาบิโลนเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 610-539)
หลังจากนั้นอัสซีเรียก็อ่อนอำนาจลง ถูกสามประเทศรุกราน คืออียิปต์ มีเดีย และบาบิโลน เมื่ออัสซีเรียพ่ายแพ้ จักรวรรดิก็ถูกแบ่งปันกัน อียิปต์พยายามกลับมาควบคุมปาเลสไตน์อีก แต่ก็พ่ายแพ้บาบิโลน ที่คาร์เคมิช (605 ปี ก่อนคริสตกาล) ยูดาห์พยายามเรียกร้อง เอกราชของตน แต่ก็พ่ายแพ้บาบิโลน (ก.ค.ศ. 597) หลังจากยูดาห์ เป็นกบฏ บาบิโลนก็บุกโจมตีอีก (ก.ค.ศ. 587) และทำลายกรุงเยรูซาเล็ม พร้อมทั้งพระวิหารพังพินาศ พวกผู้นำ ของยูดาห์ ถูกกวาดต้อน ไปเป็นเชลยที่บาบิโลน
8. สมัยจักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 539-331 )
ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียพิชิตบาบิโลนได้เมื่อ ก.ค.ศ. 539 พระองค์ทรงอนุญาต ให้พวกยิวกลับไปยูดาห์ เพื่อสร้างพระวิหาร ในกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ เกิดความยุ่งยากหลายอย่าง กว่าจะสร้างสำเร็จได้ ก็ล่วงเลยไปถึงปี ก.ค.ศ. 516 ในปี ก.ค.ศ. 445 เนหะมีย์ ได้รับอนุญาตให้กลับไปยูดาห์ เพื่อซ่อมแซมกำแพงเมือง และสถาปนา มณฑลยูดาห์ ประมาณ ก.ค.ศ. 397 เอสราเดินทางจากบาบิโลน พร้อมกับหนังสือ 5 เล่มแรก ของพันสัญญาเดิม ซึ่งเป็นหนังสือ ที่ใช้เป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิตของอิสราเอล
9. สมัยจักรวรรดิกรีกเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 331-65)
อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งประเทศกรีก พิชิตเปอร์เซียได้ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ กรีกก็ยังปกครอง ต่อไป ปี ก.ค.ศ. 323-198 ทอเลมี ราชวงค์กรีก ซึ่งอยู่ที่อียิปต์ มีอำนาจปกครองพวกยิว แต่ในปี ก.ค.ศ. 198 เซลูคัส เข้าควบคุมปาเลสไตน์ กษัตริย์อันทิโอกที่ 4 พยายามทำลายศาสนายิว บังคับให้ปฏิบัติ ตามธรรมเนียมกรีก ยิวกลุ่มหนึ่ง เรียกว่าพวกแมคคาบี ได้นำประชาชนต่อต้าน ในที่สุด ก็สามารถเลือกกษัตริย์ของพวกตน ขึ้นปกครองยูดาห์
10. สมัยจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 65 - ค.ศ. 70)
ความขัดแย้งเกิดขึ้นท่ามกลางพวกแมคคาบี พวกเขาจึงเชิญพวกโรมันมาตัดสิน ว่าจะเลือกใครเป็นกษัตริย์ พวกโรมันแต่งตั้ง อันทิปาส ให้เป็นผู้ปกครองยูดาห์ และเฮโรดมหาราช เป็นกษัตริย์องค์แรก ที่ปกครองปาเลสไตน์ พระเยซูคริสต์ ประสูติในรัชกาลนี้ คริสเตียนเกิดขึ้นจากชีวิต และพันธกิจของพระเยซูคริสต์ ชาวยิวต่อต้านคริสเตียน และขอร้องชาวโรมันให้ทำลายเสีย ภายหลังยิวก่อการกบฏ จึงถูกลงโทษ ด้วยการทำลาย กรุงเยรูซาเล็ม รัฐยิวจึง ถึงกาลอวสาน (ค.ศ. 70)
จาก : God with us
ประวัติศาสตร์, อิสราเอล
1. บรรพชนต้นตระกูลอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 200-1550)
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้เป็น ช่วงที่ประชาชนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ กำลังแสวงหาที่ สำหรับตั้งถิ่นฐาน เพื่อทำมาหากิน ในบรรดาคนเหล่านั้น มีอับราฮัมและเชื้อสายของท่านคือ อิสอัค เอซาว ยาโคบ และบุตรชาย 12 ของยาโคบ ซึ่งมีโยเซฟรวมอยู่ด้วย พวกเขาอพยพออกจาก เมโสโปเตเมีย ไปยังปาเลสไตน์ และอียิปต์ หลังจาก ก.ค.ศ. 1550 อียิปต์สามารถกอบกู้เอกราช กลับคืนมาจากชนชาติเร่ร่อน ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน พวกอิสราเอล จึงกลายเป็นทาส ในประเทศอียิปต์
2. การอพยพ (ประมาณ ก.ค.ศ. 1550-1250)
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ อียิปต์มีอำนาจมาก สามารถควบคุมดินแดนปาเลสไตน์ได้ ส่วนใหญ่ เชื้อสายของอับราฮัม ตกเป็นทาสในอียิปต์ ต่อมาโมเสส ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า ให้นำอิสราเอล ออกจากอียิปต์ ไปภูเขาซีนาย ที่นั่น พวกเขาได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้า และได้รับพระบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นแนวทาง สำหรับ การรับใช้ พระเจ้า และปฏิบัติต่อกันและกัน
3. อิสราเอล 12 เผ่า (ประมาณ ก.ค.ศ.1250-1000)
ช่วงนี้ประเทศอียิปต์อ่อนกำลังลงจนแทบไม่มีอำนาจควบคุมปาเลสไตน์ คนเผ่าเร่ร่อนหลายเผ่า รวมทั้งอิสราเอล กำลังต่อสู้กัน เพื่อช่วงชิงอำนาจปกครอง แผ่นดินปาเลสไตน์ โยชูวานำอิสราเอล เข้าสู่แผ่นดินปาเลสไตน์ มีผู้วินิจฉัย จำนวนหนึ่ง ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นผู้นำ ทำหน้าที่ช่วยเหลือพวกเขา เมื่อเกิดความขัดแย้ง กับคนต่างชาติ ซึ่งมีพวกฟีลิสเตีย เป็นคู่อริที่อันตรายที่สุด
4. กษัตริย์องค์แรกๆ ของอิสราเอล (ประมาณ ก.ค.ศ. 1000-922)
ช่วงนี้พวกฟีลิสเตียเป็นเผ่าที่คุกคามอิสราเอลอย่างหนัก ไม่มีผู้วินิจฉัยคนใด สามารถยับยั้งพวกฟีลิสเตีย ที่กำลังเข้าคุกคาม ดินแดนของพวกอิสราเอลได้ ซามูเอลจึงเลือกซาอูล และดาวิด ให้เป็นกษัตริย์ ของพวกอิสราเอล โดยให้กษัตริย์เป็นผู้สร้างกองทัพ เพื่อพิชิตดินแดนปาเลสไตน์ กษัตริย์ซาอูลล้มเหลว แต่กษัตริย์ดาวิด ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง สามารถเอาชนะพวกฟีลิสเตีย และราชอาณาจักรต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ปาเลสไตน์ ยุคนี้เป็นยุคที่อิสราเอลมีอำนาจสูงสุด กษัตริย์ซาโลมอนโอรสของดาวิด ได้สร้างพระวิหาร และอาคารต่างๆ มากมาย ที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็เก็บภาษีประชาชนอย่างหนัก
5. สองราชอาณาจักร (ประมาณ ก.ค.ศ. 922-802)
หลังจากที่ซาโลมอนสิ้นพระชนม์แล้ว ก็เกิดสงครามกลางเมืองในอิสราเอล ทำให้ราชอาณาจักร ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ราชอาณาจักร ยูดาห์ อยู่ด้านใต้ ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์ดาวิด ราชอาณาจักรอิสราเอล อยู่ด้านเหนือ ปกครองโดยกษัตริย์ ที่พวกผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้เลือกสรร
6. สมัยจักรวรรดิอัสซีเรียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 802-610)
ช่วงต้นของบทนี้ ไม่มีชาติใดที่มีอำนาจมากพอ ที่จะเข้าควบคุมอิสราเอล ทั้ง 2 ราชอาณาจักร จึงมีสันติสุข และ เจริญรุ่งเรือง แต่ผู้เผยพระวจนะ อาโมส และ โฮเชยา ประณามความอยุติธรรม ในสังคม ท่านทั้งสอง เตือนภัย ที่กำลังจะมาถึง กษัตริย์องค์ใหม่ของอัสซีเรีย ขึ้นครองอำนาจ และสามารถพิชิต ราชอาณาจักรอิสราเอลได้ เมื่อ 721 ปี ก่อนคริสตกาล ประชาชน ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ส่วนราชอาณาจักรยูดาห์ ยอมจำนน แต่ก็ก่อการกบฏ บ่อยครั้ง แต่ก็ถูกอัสซีเรีย ควบคุมไว้ได้ โดยที่อียิปต์ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ ขอร้องให้ ประชาชน วางใจในพระเจ้า
7. สมัยจักรวรรดิบาบิโลนเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 610-539)
หลังจากนั้นอัสซีเรียก็อ่อนอำนาจลง ถูกสามประเทศรุกราน คืออียิปต์ มีเดีย และบาบิโลน เมื่ออัสซีเรียพ่ายแพ้ จักรวรรดิก็ถูกแบ่งปันกัน อียิปต์พยายามกลับมาควบคุมปาเลสไตน์อีก แต่ก็พ่ายแพ้บาบิโลน ที่คาร์เคมิช (605 ปี ก่อนคริสตกาล) ยูดาห์พยายามเรียกร้อง เอกราชของตน แต่ก็พ่ายแพ้บาบิโลน (ก.ค.ศ. 597) หลังจากยูดาห์ เป็นกบฏ บาบิโลนก็บุกโจมตีอีก (ก.ค.ศ. 587) และทำลายกรุงเยรูซาเล็ม พร้อมทั้งพระวิหารพังพินาศ พวกผู้นำ ของยูดาห์ ถูกกวาดต้อน ไปเป็นเชลยที่บาบิโลน
8. สมัยจักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 539-331 )
ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียพิชิตบาบิโลนได้เมื่อ ก.ค.ศ. 539 พระองค์ทรงอนุญาต ให้พวกยิวกลับไปยูดาห์ เพื่อสร้างพระวิหาร ในกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ เกิดความยุ่งยากหลายอย่าง กว่าจะสร้างสำเร็จได้ ก็ล่วงเลยไปถึงปี ก.ค.ศ. 516 ในปี ก.ค.ศ. 445 เนหะมีย์ ได้รับอนุญาตให้กลับไปยูดาห์ เพื่อซ่อมแซมกำแพงเมือง และสถาปนา มณฑลยูดาห์ ประมาณ ก.ค.ศ. 397 เอสราเดินทางจากบาบิโลน พร้อมกับหนังสือ 5 เล่มแรก ของพันสัญญาเดิม ซึ่งเป็นหนังสือ ที่ใช้เป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิตของอิสราเอล
9. สมัยจักรวรรดิกรีกเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 331-65)
อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งประเทศกรีก พิชิตเปอร์เซียได้ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ กรีกก็ยังปกครอง ต่อไป ปี ก.ค.ศ. 323-198 ทอเลมี ราชวงค์กรีก ซึ่งอยู่ที่อียิปต์ มีอำนาจปกครองพวกยิว แต่ในปี ก.ค.ศ. 198 เซลูคัส เข้าควบคุมปาเลสไตน์ กษัตริย์อันทิโอกที่ 4 พยายามทำลายศาสนายิว บังคับให้ปฏิบัติ ตามธรรมเนียมกรีก ยิวกลุ่มหนึ่ง เรียกว่าพวกแมคคาบี ได้นำประชาชนต่อต้าน ในที่สุด ก็สามารถเลือกกษัตริย์ของพวกตน ขึ้นปกครองยูดาห์
10. สมัยจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ (ประมาณ ก.ค.ศ. 65 - ค.ศ. 70)
ความขัดแย้งเกิดขึ้นท่ามกลางพวกแมคคาบี พวกเขาจึงเชิญพวกโรมันมาตัดสิน ว่าจะเลือกใครเป็นกษัตริย์ พวกโรมันแต่งตั้ง อันทิปาส ให้เป็นผู้ปกครองยูดาห์ และเฮโรดมหาราช เป็นกษัตริย์องค์แรก ที่ปกครองปาเลสไตน์ พระเยซูคริสต์ ประสูติในรัชกาลนี้ คริสเตียนเกิดขึ้นจากชีวิต และพันธกิจของพระเยซูคริสต์ ชาวยิวต่อต้านคริสเตียน และขอร้องชาวโรมันให้ทำลายเสีย ภายหลังยิวก่อการกบฏ จึงถูกลงโทษ ด้วยการทำลาย กรุงเยรูซาเล็ม รัฐยิวจึง ถึงกาลอวสาน (ค.ศ. 70)
จาก : God with us
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)