วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

การอดอาหารอธิษฐาน



alt

คำนำ

การอด อาหารอธิษฐานเป็นการอธิษฐานด้วยฤทธิ์เดช ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์หลายคนล้วนแต่อดอาหารอธิษฐาน และเขาเหล่านั้นก็ได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า เช่น ดาวิด เอลียาห์ ดาเนียล เนหะมีย์ พระเยซูคริสต์

การอดอาหารอธิษฐาน เป็นการงดอาหาร แยกตัวออก ตั้งใจในการอธิษฐาน แสวงหาพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ จดจ่ออยู่ที่พระเจ้า

1 ความสำคัญของการอดอาหารอธิษฐาน

บางคนเจอปัญหาเยอะถึงเข้าหาพระเจ้า แต่ปกติเราควรแสวงหาพระเจ้า โดยการอดอาหารอธิษฐาน

1.1 เวลาที่จะถือศีลอดอาหารอธิษฐาน

เมื่อต้องเผชิญวิกฤตการณ์ ปัญหาเศรษฐกิจการล้มละลาย

เมื่อเวลาอยู่ในทุกข์ยากลำบาก เจ็บป่วย

เมื่อมีความจำเป็นส่วนตัว เช่น ความคิดแง่ลบ คำพูดแง่ลบ ขอสิ่งของจำเป็น

เมื่อเผชิญการตัดสินใจฝ่ายวิญญาณ

เมื่อรอคอยพระเยซู เสด็จกลับมาเป็นการเตรียมลักษณะชีวิตให้พร้อมเสมอ เพื่อให้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

1.2 การอดอาหารอธิษฐานทำให้เราได้ใกล้ชิดพระเจ้า ได้แสวงหาพระเจ้า

การอด อธิษฐาน ไม่ใช่เพื่อลดน้ำหนัก ไม่ใช่เพราะไม่มีเวลารับประทานอาหาร เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เป็นการถ่อมใจพึ่งพาพระเจ้า พระเจ้าสามารถช่วยเราจากปัญหาได้

การอด อาหารอธิษฐาน มีความหมายว่า การละเว้นจากอาหารในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นชั่วครั้งชั่วคราวตามที่ได้ตั้งใจไว้ เป็นการปฏิเสธเนื้อหนัง เป็นการแสดงให้เห็นว่า เราสามารถควบคุมตัวเองได้โดยพึ่งพาพระเจ้า

อาดัมพ่ายแพ้การทดลองโดยการกินผลไม้นั้น พระเยซูมีชัยชนะเหนือการทดลองโดยพระคำ

มธ.4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า

การอด อธิษฐานต้องตั้งใจจริงอย่างแน่วแน่ว่าเราสามารถทำได้ ถ้าทำได้เราจะมีความเชื่อในฤทธิ์เดชของพระเจ้าทำให้เราเผชิญปัญหา และการล่อลวงได้ เช่น ความกังวลใจครอบครัว ความโลภ ความคิดแง่ลบ ฯลฯ คนที่มีความคิดแง่บวกจึงจะสามารถผ่านปัญหาไปได้

2 เหตุผลการถืออดอาหารอธิษฐาน

2.1 เพื่อทำให้เกิดความเชื่อเพิ่มมากขึ้น

มธ.17:19-21 ภายหลังเหล่าสาวกของพระเยซูมาหาพระองค์เป็นส่วนตัว ทูลถามว่า “เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเหตุพวกท่านมีความเชื่อน้อย ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ด หนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า “จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น” มันก็จะเลื่อน สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้ จะไม่มีเลย

2.2 เพื่อดำเนินในชีวิตในฝ่ายวิญญาณ

2.3 เพื่อปัญหาต่างๆ ได้รับการปลดปล่อย

2.4 เพื่อที่เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อพระเจ้าทำงานผ่านเราได้

3 ตัวอย่างบุคคลในพระคัมภีร์

3.1 โมเสส

อพย.34:28 ฝ่ายโมเสสเฝ้าพระเจ้าอยู่ที่นั่นสี่สิบวันสี่สิบคืน มิได้รับประทานอาหารหรือน้ำเลย และท่านจารึกคำพันธสัญญาไว้ที่แผ่นศิลา คือพระบัญญัติ 10 ประการ

3.2 นางฮันนาอดอาหารของบุตร

1ซม อ.1:7 เหตุการณ์ก็เป็นอยู่ดังนี้ ปีแล้วปีเล่า เมื่อนางขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้าคราวใด เมียคู่ของนางก็เคยยั่วเย้านาง เพราะฉะนั้นนางฮันนาห์ จึงร้องไห้ไม่รับประทานอาหาร

3.3 เอสเธอร์ อาอาหารเพื่อช่วยชนชาติยิว

อสธ.4:16 ไปเถิด ให้รวบรวมพวกยิวทั้งสิ้นที่หาพบในสุสาน และถืออดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทาน อย่าดื่มสามวัน กลางคืนหรือกลางวัน ฉันและสาวใช้ของฉันจะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะเข้าเฝ้าพระราชา แม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ

3.4 เนหะมีย์ อดอาหารอธิษฐาน เพื่อประชาชนของอิสราเอล

นหม.1:4 อยู่มาเมื่อข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็นั่งลงร้องไห้ และโศกเศร้าอยู่หลายวัน ข้าพเจ้าอดอาหารและอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เรื่อยมา

3.5 การอดอาหารอธิษฐานของชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ในการลดมลทินบาป

ลน ต.23:27 “ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดนี้เป็นวันทำการลบมลทิน จะเป็นวันประชุมบริสุทธิ์แก่เจ้า และเจ้าจงบัลคับใจตนเอง และนำเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระเจ้า

3.6 พระเยซูอดอาหาร 40 วัน ในถิ่นทุรกันดาร ก่อนที่พระองค์จะไปทำพระราชกิจ

มธ.4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียว

หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”

3.7 เปาโล ถืออดอาหารหลังจากรับเชื่อ

กจ.9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวัน และท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย

3.8 โครเนลิอัส ถืออดอาหารอธิษฐาน

กจ.10:30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้วข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในตึกของข้าพเจ้า ราวเวลานี้เอง คือบ่ายสามโมง มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สวมเสื้อมันระยับ

3.9 การเดินทางไปกรุงโลม เปาโลชวนนายร้อย พวกลูกเรืออดอธิษฐาน

กจ.27:33 เมื่อจวนรุ่งเช้า เปาโลจึงชวนคนทั้งปวงให้รับประทานอาหาร และกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบสี่ ที่ท่านทั้งหลายต้องเฝ้าคอยอยู่และอดอาหาร มิได้รับประทานอาหารอะไรตลอดมา

4 ท่าทีที่ผิดในการถืออดอาหารอธิษฐาน

4.1 ถืออดอาหารเพื่อโอ้อวด หรือต้องการให้ผู้อื่นสนใจ หรือใช้วัดระดับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ

มธ.6:16-18 “เมื่อท่านถืออดอาหารอย่าทำหน้าเศร้าหมอง เหมือน คนหน้าซื่อใจคดด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมม เพื่อจะให้คนเห็นว่า เขาถืออดอาหารเราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว ฝ่ายท่านเมื่ออดอาหาร จงล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะ เพื่อคนจะได้ไม่รู้ว่าถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน

ต้องมีแรงจูงใจที่ถูกต้อง การที่เข้าหาพระเจ้าอย่างถูกต้อง ต้องปฏิเสธตัวเองอย่างสิ้นเชิง ยอมกับพระเจ้า

4.2 ถืออดอาหารอธิษฐานเป็นธรรมเนียม

เป็นหน้าที่ไม่มีความจริงใจที่แสวงหาพระเจ้า ไม่ขึ้นถึงการอดอาหาร แต่แสดงถึงการจริงใจ ความเชื่อ

มก.11:24 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าของสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับและท่านจะได้รับสิ่งนั้น

4.3 บ่นต่อว่า เมื่อถืออดอาหารอธิษฐานแล้ว พระเจ้าไม่ตอบ

เป็นท่าทีที่แสดงถึงความไม่ไว้วางจริง ถ้าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พระเจ้าจะไม่ฟังคำอธิษฐาน

อสย.58:3-4 “ทำไมข้าพระองค์ทั้งหลายได้อดอาหารและพระองค์มิได้ทอดพระเนตร ทำไม ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถ่อมตัวลง และพระองค์มิได้สนพระทัย” ดูเถิด ในวันที่เจ้าอดอาหารเจ้าทำตามใจของเจ้า และบีบบังคับคนงานของเจ้าทั้งหมด ดูเถิด เจ้าอดอาหารเพียงเพื่อวิวาทและต่อสู้ และเพื่อต่อยด้วยหมัดอธรรม และอดอาหารอย่างของเจ้าในวันนี้จะไม่กระทำให้เสียงของเจ้าได้ยินไปถึงที่สูง

รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร

รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร





Christ the Redeemer ( statue ) รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขากอร์โกวาดู ( Corcovado Mountain ) ในนครรีโอเดจาเนโร ( Rio de Janeiro ) ประเทศบราซิล ( Brazil ) ได้รับการลงคะแนนเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุค ใหม่ และถือเป็นสัญญาลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวคริสต์ในประเทศ บราซิลทั้งหมด ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง

ข้อมูลเฉพาะ รูปปั้นพระเยซูคริสต์


  • รูปปั้นสูง 30 เมตร
  • กว้าง 38 เมตร ( วัดจากปลายแขนซ้าย ถึงปลายแขนขวา )
  • มีน้ำหนัก 635 ตัน
  • ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขากอร์โกวาดู ( Corcovado Mountain ) ที่ระดับความสูง 710 เมตร ในอุทยานแห่งชาติทิจูคา ( Tijuca Forest National Park ) ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็น มหานครรีโอเดจาเนโร ( Rio de Janeiro ) ได้ทั้งหมด
  • ถือเป็นรูปปั้นพระเยซูคริสต์ขนาด ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ตั้งอยู่บนระดับความสูง 710 เมตร
  • ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก หุ้มด้วยหินสบู่ ( Soapstone ) เนื่องจากมีความทนทานสูง และเหมาะต่อการใช้งาน
  • การแกะสลักดำเนินการโดยช่างแกะชาวฝรั่งเศล นามว่า Paul Landowski
  • ทีมงานออกแบบโครงสร้างนำโดยวิศวกรชื่อ Albert Caquot
  • ผู้ออกแบบสถาปัตกรรม เป็นวิศวกรชาวบราซิล ชื่อว่า Heitor da Silva Costa
ผู้ออกแบบรูปปั้นพระเยซูคริสต์ นามว่า Heitor da Silva Costa
รูปซ้าย นาย Heitor da Silva Costa ผู้ออกแบบรูปปั้นพระเยซูคริสต์ กำลังนั่งดูโมเดลจำลองของเขา
รูปขวา คือแบบอีก 1 ทางเลือกที่ถูกเสนอแต่ไม่ได้รับการคัดเลือก


ประวัติ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร


  • 1850 แนวความคิดในการก่อสร้างรูปปั้นขนาดใหญ่บนยอดเขากอร์โกวาดู เริ่มเมื่อช่วงกลางปี 1850 เมื่อหลวงพ่อ Pedro Maria ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก เจ้าหญิง Isabel ให้ทำการก่อสร้างรูปปั้นทางศาสนาขนาดใหญ่ ทางเจ้าหญิงเองไม่ทรงเปิดกว้างในรู้แบบการก่อสร้าง แต่หลวงพ่อ Pedro Maria กลับคุ้นคิด หารูปแบบที่เหมาะสม ไม่ไ้ด้จนเวลาล่วงเลยมากว่า 39 ปี บราซิลเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ.1889
  • 1921 จึงมีการเสนอ 2 โครงการการรูปปั้นขนาดยักษ์ ที่เป็นสัญญาลักษณะของเมือง โดยรูปแบบแรกเป็นรูปพระเยซูคริสต์ และมีโลกอยู่ในมือ และอีกรูปแบบเป็นรูปพระเยซูคริสต์กางแขน และรูปแบบหลังได้รับการรับเลือก
  • 1922 เริ่มทำการก่อสร้าง การก่อสร้างใช้เวลา 9 ปี ตั้งแ่ต่ปี ค.ศ. 1922 ถึง 1931 wowboom

การก่อสร้างเส้นทางเดียวที่จะลำเลียงวัสดุก่อสร้าง และคนงานขึ้นสู่ยอดเขา โดยใช้
รถไฟผ่าน ทางรถไฟ และปัจจุบัน ก็ยังคงใช้สำหรับขนส่งนักท่องเที่ยวขึ้นสู่ยอดเขา หรืออาจใช้เส้นทางรถยนต์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที แล้วต่อด้วยการเดินขึ้นบันไดอีก 222 ขั้น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบัไดเลื่อนเรียบร้อยแล้ว

รูปขณะก่อสร้างรูปปั้นพระเยซูคริสต์ 1 ใน 7 สิ่งมหัสจรรย์ของโลก
รูปภาพซ้าย ส่วนพระเศียรของรูปปั้นที่แกะสลักด้วยหินสบู่ ที่รอการติดตั้ง
รูปภาพขวา เป็นพระหัตถ์ซ้ายของรูปปั้น มีขนาดใหญ่โตมากเมื่อ เปรียญเทียบกับขนาดคนด้านข้าง
  • 1931 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร เสร็จสมบูรณ์ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1931 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 8,750,000 บาท ( 250,000 เหรียญสหรัฐ )
รูปส่วนพระเศียรขณะก่อสร้าง รูปปั้นพระเยซูคริสต์
รูปซ้าย เป็นรูปภ่ายเมื่อวันเปิดรูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ใน วันที่ 12 ตุลาคม 1931
รูปขวา เป็นรูปภ่ายปัจจุบัน ปี 2009 ถึงเวลาจะผ่านไปกว่า 78 ปี ต่อความยิ่งใหญ่นั้นไม่เสื่อมคลาย
  • 2006 ทางบราซิลจัดการณรงณ์ ให้ประชาชนชาวบราซิลช่วยกัน โหวต ให้ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ได้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีผู้สนับสนุนมากมาย รวมทั้งของรางวัลเป็นจำนวนมาก และในวันที่ 7
  • 2007 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ในวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 สมตามความตั้งใจของชาวบราซิล
  • 2008 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ถูกฟ้าฝ่าเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2008 แต่รูปปั้นไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากหุ้มด้วยหินสบู่


รูปภาพเหตุการณ์ รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ถูกฟ้าฝ่าเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2008 จะสังเกตุเห็น
สายฟ้า อย่างชัดเจนในภาพ


รูปกลุ่ม Greenpeace แอบขึ้นไปแขวนป้ายรณรงค์ ให้ทุกคนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีข้อความว่า "อนาคตของโลกอยู่ในมือคุณ ( THE FUTURE OF PLANET IS IN YOUR HAND ) "


รูปนี้ สังเกตดีจะเห็นที่อกขวาของรูปปั้นมีจุดสีดำ จุดนั้นคือนักกระโดดร่มเสี่ยงตาย ที่กระโดดลงมา

ข้อมูลอ้างอิง รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร

พระเยซูคริสต์ฟื้นขึ้นจากตายจริงหรือ?

1.พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ต่อหน้า.....ฝูงชน
ใน ระหว่่างเทศกา่ลปัสกาของชาวยิว ฝูงชนที่ถูกปลุกปั่นให้ลุกฮือขึ้น ได้จับกุมพระเยซูไปมอบให้ปิลาตเจ้าเมืองชาวโรม โดยกล่าวหาว่า พระเยซูได้อ้้างตนว่าเป็นกษัตริย์ของชาวยิวประชาชนได้ขอให้ตรึงพระองค์เสีย ทีี่่่กางเขน พระเยซูทรงถูกโบยตีอย่างทารุณ และนำไปประหารต่อหน้าฝูงชนบนภูเขานอกกรุงเยรูซาเล็ม พร้อมนักโทษ 2 คน ท่ามกลางมิตรที่รักและศัตรูที่เยาะเย้ย พระเยูได้ทรงสิ้นพระชนม์อย่างน่าอนาถ เนื่องจากวันสะบาโตได้ใกล้เข้ามา ทหารโรมันจึงต้องเร่งประหารนักโทษให้เร็วขึ้นโดยการทุบขาให้หัก แต่เมื่อมาถึงพระเยซูก็พบว่่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว แต่เพื่อความมั่นใจทหารจึงใช้หอกแทงเข้าที่สีข้างของพระองค์ เพราะกลัวว่าพระองค์จะเพียงแต่สลบไป
หมายเหตุ
- พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ในบ่ายวันศุกร์
-วันสะบาโต (วันหยุดพักผ่อน) ของชาวยิวเริ่มตั้งแต่เย็นวันศุกร์เรื่้อยไปจนถึงเย็นวันเสาร์


2.อุโมงค์ฝังศพถูกประทับตรา่....ห้ามเข้า
วันรุ่งขี้ นซี่งเป็นวันสะบาโต ผู้นำยิวได้มาหาปิลาตกล่าว่า พระเยซูเคยบอกพวกสาวกว่าพระึองค์จะสิ้นพระชนม์และจะทรงฟื้นขึ้นจากความตายใน วันที่ 3 ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการขโมยพระศพ เพื่อนำไปสร้างหลักฐานเท็จ จึงขอให้ปิลาตสั่งเจ้าหน้าที่ประทับตราห้ามเข้าเด็ดขาด หน้าอุโมงค์ฝังศพ พร้อมส่งทหารยามหมู่หนึ่งไปเฝ้าหน้าอุโมงค์อย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถเข้าไปได้ หากมีัผู้ใดฝ่าฝืนหรือมีกาีรหลับยามต้องมีโทษถึงตาย

3.อุโมงค์......ว่างเปล่า
ในเช้าวัน รุ่งขึ้นหลังจากวันสะบา่โต (วันอาทิตย์) ได้มีสาวกบางคนรุดไปที่อุโมงต์เพื่อจะชโลมพระศพ แต่เมื่อไปถึงพวกเขาต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าหินก้อนใหญ่้ซึ่้งใช้ปิดทางเข้าอุโมงค์ได้ถูกเปิดออก อุโมงค์กลับว่้างเปล่า พระศพของพระเียซูหายไป พบเพียงแต่ผ้าพันพระศพวางพับอยู่เท่านั้น ส่วนทหารยามได้วิ่งเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อแจ้งให้ผู้นำยิวทราบว่า มีทูตสวรรค์มาปรากฎและได้กลิ้งก้อนหินใหญ่ที่ปิดอุโมงค์ืออกและพวกเขาได้สลบ ไป เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าอุโมงค์ได้ว่างเปล่า และพระศพของพระเยซูได้หายไปเสียแล้ว
ผู้นำยิวจึง ได้จ่ายเงินค่าปิดปากเป็นจำนวนมาก เพื่อให้โกหกว่า่ พวกสาวกได้มาขโมยพระศพไปในขณะที่พวกทหารหลับอยู่ ผู้นำยิวยังได้ยืนยันว่าถ้าข่าวเรื่องพระศพหายไปนี้รู้ถึงหูปิลาตเจ้าเมืิอง พวกเขาจะช่วยพูดปกป้องใ้ห้หมายเหตุ พะเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สามคือวันอาทิตย์

4.พยานบุคคลจำนวนมาก......ยืนยัน
ประมาณ ค.ศ.55 อัครทูตเปาโลได้บันทึกว่าพระเยซูได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ โดยได้ปรากฎตัวให้อัครทูต 12 คน และสาวกกว่า 500 คน เห็นตลอดระัหว่าง 40 วัน ต่างวาระและต่างสถานที่กัน ขณะที่ท่านได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ หลายคนที่ได้กล่าวอ้างถึงนั้นยังมีชีวิตอยู่ (1โคริืนธ์ 15 5-8) และที่สำคัญโดยการกล่าวอ้างอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เป็นกาีรเปิดโอกาสให้แก่นำยิวที่คอยจ้องจับผิดสามารถตรวจสอบและโต้แย้งข้อ เท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ หากการฟื้นคืนพระชนม์เป็นเรื่องโกหก สาวกของพระเยซูก็คงไม่สามารถแก้ตัวใดๆได้

5.ชีวิตของสาวก.....เปลี่ยนไป
ในคืนที่พระ เยซูทรงถูกจับ เหล่าสาวกต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เปโตรซึ่งก่อนหน้านี้ได้กล่าวอย่างแข็งขันว่าพร้อมจะตายกับพระเยซู ก็ยังกลัวจนตัวสั่นและปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักพระองค์ถึงสามครั้ง แต่ภายหลังจากประสบการณ์ที่ได้เห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยมือของตนเองว่า พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตาย ชีวิตของเหล่าสาวกก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากคนที่เคยขลาดกลัวกลับ กลายเป็นคนที่กล้าหาญ ไม่หวั่นต่อคำขุ่หรือความตาย จิตใจแกร่งเหมือนเหล็กและกลายเป็นคนที่ไม่มีใครหยุดได้ในความมุมานะที่จะสละ ทุกสิ่งเพื่อผู้ที่เขาเรียกว่า องค์พระผู้ช่วยให้รอด และองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกจำคุก โดนเฆี่ยนตี และห้ามไม่ให้กล่าวอ้างถึงพระนามของพระเยซูอีก แต่พวกเขาตอบกลับผู้นำยิวอย่างไม่กลัวเกรงว่า
("ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ กิจการ 5:29")

6.เพื่อสิ่งที่ตนเชื่อสาวกยอม.....ตาย
ประ ัวัติศาสตร์เต็มไปด้วยชาย-หญิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยอมตายเพื่อความเชื่อ ของตน ซึ่งรวมถึงเหล่าสาวกที่ได้เห็นพระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายด้วย คงไมมีใครยอมตายเ้พื่อคำหลอกลวงหรือเรื่องเท็จที่ตนเองได้ปั้นแต่งขึ้น พวกเขายินดีที่จะถูกฆ่าตายเพื่อยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ไม่เพียงสิ้นพระชนม์จากความตายเพื่อแสดงว่าผู้เชื่อทุกคนจะมี ชีวิตนิรันดร์ด้วยกันกับพระองค์ชีวิตนิรันดร์คือการที่ได้อยู่กับพระเจ้า ตลอดเไปเป็นนิตย์ในสวรรค์

7.คริสเตียนชาวยิวเปลี่ยน......วันนมัสการ
วันสะับาโต ถือเป็นวันสำคัญมากในวิถีชีวิตของชาวยิว เพราะเป็นวันที่พระเจ้าทรงกำหนดไ้ห้มีการพักผ่อนหยุดพักจากการงาน และ นมัสการ ยิวคนใดที่ไม่ปฏิบัติตามวันสะบาโต จะมีความผิดต่อบัญญัติของโมเสส แต่ชาวยิวผู้เชื้อพระะเยซูคริสต์ได้เริ่มนมัสการพระเจ้าในวันอื่นแทน คือ วันอาทิตย์วันซึ้่งพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายแทนวัน สะบาโต(วันเสาร์) สำหรับชาวยิวแล้ว นั่นเป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้่งใหญ่ในชีวิต เป็นการประกาศว่า พวกเ้ขาเชื่อว่าความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ได้เปิดทางสู่ความ สัมพันธ์ใหม่กัยพระเจ้าวิถีทางใหม่นี้ไม่ได้ตั่งอยู่บนธรรมบัญญัติ แต่ตั้งอยู่บนการยกโทษบาปและการประทานชีวิตของพระเยซูคริสต์

8.เหตุการณ์เหล่านี้.......ทำนายล่วงหน้าไว้แล้ว
นานนับพันปีที่พระเจ้าได้ทรงสััญญา กับชนชาติืยิวว่าจะส่งพระเมสสิยาห์(พระผุ้ช่วยให้รอด) มาช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ยาก การถูกกดขี่ข่มเหง พวกเขา่เข้าใจว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทรงตั้งอาณาจักรอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าพระเมสสิยาห์ที่พระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงมากมายหลาย ครั้งจะมาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากการเป็นทาสของความบาปซึ่งเป็นเื่รื่อ งของความรอดฝ่ายจิตวิญญาณ (อิสยาห์ 53:10) นอกจากนี้พระเยซูยังได้ทรงตรัสหลายครั้งกับสาวกเป็นการล่วงหน้าว่า จำเป็นที่พระองค์จะต้องเสด็จใปกรุงเยรูซาเล็มและจะถูกจับตรึงกางเขนสิ้นพระ ชนม์ และในวันที่สามพระองค์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย


9.แพ้แต่........ชนะ
ดูเหมือนเป็น การพ่ายแพ้้ และเป็นการปิดฉากชีวิตของชายที่ชื่อว่าเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้ได้เริ่มต้นการอัศจรรย์อย่างเหลืือเชื่อตลอดสามปี โดยเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่น ผู้รักษาคนเจ็บป่วย เปิดตาคนตาบอด รักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้ รักษาคนง่อย ขับผี ห้ามลมพายุให้สงบ ผู้เดินบนน้ำทะเล และเรียกคนตายให้ฟื่้้น พระองค์ทรงตั้งคำถามที่คนฉลาดที่สุดก็ยังตอบไม่ได้ พระองค์ทรงสอนความจริงที่เปิดเผยใจที่คดงอของเขา ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความจริง เราคงจะแปลกใจว่าพระองค์ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ เพราะทรงถูกจับและตรึงไว้บนกางเขน และถูกฝูงชนเยาะเย้ยและส่อเสียดว่าช่วยคนอื่นได้ แต่จะช่วยตัวเองได้หรือ การอัศจรรย์ได้สิ้นสุดลงแล้วหรือ นี่ดูเหมือนเป็นการพ่ายแพ้ แต่ในความเป็นจริง การพ่ายแพ้นี้กลับเป็นชัยชนะที่ศัตรูของพระองค์คือมารซาตานขาดไม่ถึง เพราะด้วยการสิ้นพระชนม์บนกางเขน มนุษย์สิ้นทั้งโลกต้องตาย เพราะความบาปผิดของตน จึงได้รับการไถ่โทษ และการฟื้นขึ้นจากความตายก็ยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นทุกคนที่เชื่อ วางใจในพระุองค์จึงไม่ต้องพินาศเพราะบาปอีกต่อไป แต่จะมีชีวิตใหม่ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย

10.ประสบการณ์ของ......ผู้เชื่อ
หากความเชื่อ ของคริสเตียนเป็นเพียงการเรียนรู้จากการรับฟังเรื่องราวของผู้อื่น หรือ จากตำราหนังสือเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวคงยากที่จะกลายเป็นความเชื่อที่มั่นคงและหยั่งรากลึกลงใน ชีวิตคริสเตียนได้ ผู้เชื่่อรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้เกิดมาและได่้่้ตายจากไป แต่ความเชื่อของคริสเตียนแต่ละรุ่นยังมั่นคงสืบทอดต่อกันมานับร้อยนับพันปี เพราะองค์พระเ้ยซูคริสต์ผู้ที่เราเชื่อนั้นยังทรงพระชนม์อยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิจ ดังนั้นผู้เชื่อทุกยุคทุกสมัย จึงสามารถมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูได้ในชีวิตของเขา และทุกคนต่างยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้ว ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย และยังทรงพระชนม์อยู่ในทุกวันนี้

10 คนอัจฉริยะในโลก

10 คนอัจฉริยะในโลก

10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ



สถานี วิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับ ความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน
ครั้ง หนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า ” ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว”

9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ

William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา “Mr. Pocket Billiards” (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม
ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ
ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool

8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด

Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี

7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์

หนุ่ม วัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดใน โลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17
ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่างKearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า “ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ” อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ
ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก

6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล

Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า “แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า” และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด
Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่

5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ

ศิลปิน แนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne’s Fitzroy Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป

4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)


Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า”At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมา เนีย

3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ



Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า “เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน
Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน

2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี

Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก
Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจใน ระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย
จากการ ทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ ซะทีนั่นเอง

1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก

Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210
คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี
คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน


คัดลอกจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/3927