วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ศาสนาช่วยมนุษย์ได้จริงหรือ?

ศาสนาช่วยมนุษย์ได้จริงหรือ?

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 / 5 / 2010 07:39 โดย Joan





มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป

โดย นิกร สิทธิจริยาภรณ์

ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บอกเราว่ามนุษย์ทุกคนเป็นเหมือน "งูเห่า" (สดุดี 58.3-4)

ซึ่งงูเห่านั้นมันมีเชื้อพิษตั้งแต่อยู่ในไข่แล้วทำไมพระคัมภีร์จึงเปรียบมนุษยดุจงูเห่าล่ะ

ถ้าเราดูงูเห่าเมื่อมันออกมาจากไข่ใหม่ ๆ นั้น ลำตัวของมันจะยาวประมาณ 10 กว่านิ้วเท่านั้น

ซึ่งเวลานั้นมันยังกัดคนไม่ตายและทำอันตรายคนไม่ได้ เพราะต่อมพิษในหัวของมันยังไม่

ทำงานและเขี้ยวยังไม่งอก แต่พอหลังจากนั้นเมื่อมันเริ่มโตขึ้น เวลานี้มันเริ่มกัดคนตายแล้ว

ซึ่งถ้าเราจะไปบอกงูว่าเห่าว่า "ห้ามมีพิษนะ" คงจะเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกัน มนุษย์เรา

เมื่อออกจากครรภ์ของมารดาใหม่ ๆ ด่าคนก็ไม่เป็น เพราะต่อมบาปยังไม่เริ่มทำงาน

แต่พอโตขึ้นมาหน่อยไม่ต้องมีใครมาสอน ก็เริ่มโกหกทะเลาะ ด่าทอเป็นแล้ว นั่นเป็นเพราะ

ต่อมบาปมันเริ่มทำงานตามปกติของมันแล้ว นั่นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่ามนุษย์ทำไมจึง

ทำบาป ก็เพราะเขามีบาปและเป็นคนบาปเหมือนงูที่มีพิษ เพราะเป็นงูพิษ ดังนั้น

ไม่ใช่มนุษย์ทำบาปแล้วจึงเป็นคนบาป แต่เพราะมนุษย์เป็นคนบาปจึงทำบาป เหมือนงูพิษ

ไม่ใช่กัดคนตายแล้วมันจึงมีพิษ แต่เพราะมันมีพิษมันจึงกัดคนตาย

การติดเชื้อบาปของมนุษย์เหมือนกันการติดเชื้อเอดส์จากมารดาไปสู่เด็กในครรภ์

ซึ่งเขาไม่อยากมีโรคนี้ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เวลานี้มนุษย์ทุกคนเปรียบเสมือนคนที่มี

โรคมะเร็งกระจายอยู่ทั่วตัว คนที่เป็นโรคมะเร็งนั้นไม่อยากปวดก็ต้องปวด ถึงแม้เราจะไป

บอกเขาว่า "อย่าปวด" "ห้ามปวด" แต่ยังไงเขาก็ต้องปวดอยู่ดี เช่นเดียวกัน มนุษย์เรามีโรคบาป

ดังนั้น ถึงแม้เขาไม่อยากแสดงอาการบาป เขาก็ต้องแสดงอาการบาปออกมา ถึงจะบอกเขาว่า

"อย่าทำบาป" ห้ามทำบาป" เขาก็ยังต้องทำอยู่ดี

ดังนั้น... เรารู้ว่าโกหกไม่ดี เราไม่อยากคบกับคนโกหก แต่เราก็โกหก

เรารู้ว่าโลภไม่ดีแต่เราก็โลภ

เรารู้ว่าหยิ่งจองหองไม่ดี แต่เราก็หยิ่งจองหอง

เรารู้ว่าทะเลาะวิวาทไม่ดี แต่เราก็ทะเลาะวิวาท

เรารู้ว่าลามกไม่ดี แต่เราก็ลามก

เรารู้ว่าทำให้พ่อแม่เสียใจไม่ดี เถียงพ่อแม่ไม่ดี แต่เราก็ทำ

และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เรารู้ว่าไม่ดี เราไม่อยากทำ แต่เราก็ทำ


"เราจะรอดพ้นจากโรคบาปนี้ได้หรือ"



ศาสนาช่วยมนุษย์ได้ไหม

โดย นิกร สิทธิจริยาภรณ์

"ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี" เป็นคำพูดที่ถูกต้อง 100 % เพราะถ้าหากไม่สอน

ให้คนเป็นคนดีแล้ว เขาคงจะไม่ตั้งเป็นศาสนา หรือเรียกว่าศาสนาอย่างแน่นอน ซึ่งพระคัมภีร์

เองก็สนับสนุนคำพูดนี้

"ศาสนานั้นดีถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" (1 ทิโมธี 1.8)

จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า พระคัมภีร์ได้บอกว่า ศาสนานั้นดีถ้าใช้ให้ถูก

ใช้ถูกอย่างไร ก็คือใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ของมัน แล้วศาสนามีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไรล่ะ

"...ศาสนานั้นทำให้เรารู้จักบาปได้" (โรม 3.20) (กาลาเทีย 3.19)

จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นนี้เราจะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของศาสนาก็เพื่อให้มนุษย์

รู้จักบาปได้ หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ศาสนานั้นเปรียบเสมือนเครื่องเอ็กซเรย์ที่ถูก

สร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ที่ดี คือนำมาวินิจฉัยโรคภายในตัวของมนุษย์ (ซึ่งเราก็ไม่จำเป็น

จะต้องมานั่งเถียงกันว่าเครื่องเอ็กซเรย์ยี่ห้อไหนมันดีกว่ากัน) เมื่อคนหนึ่งที่มีโรคร้ายถ้าเขา

จะเข้าไปหาเครื่องเอ็กซเรย์ ก็จะทำให้เขาเห็นความน่ากลัวของโรคร้ายมากขึ้น เช่นเดียวกัน

เมื่อมนุษย์ยิ่งเข้าใกล้ชิดศาสนาเขาก็จะยิ่งเห็นถึงความน่ากลัวของความผิดบาปของตนเอง

ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้าน ตา ปาก มือ ใจ ความคิด ฯลฯ และยังมีความผิดบาป

อีกมากมาย ที่เมื่อคนคนหนึ่งเข้าใกล้ชิดศาสนาจะสามารถเห็นได้ในตัวเขา แต่แม้จะเห็น

และรู้อย่างชัดเจนก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เครื่องเอ็กซเรย์รักษาโรคไม่ได้ฉันใด ศาสนา

ก็รักษาโรคบาปไม่ได้ฉันนั้น เครื่องเอ็กซเรย์เป็นทางผ่านพาคนป่วยไปหาหมอเพื่อรักษา

โรคร้ายฉันใด ศาสนาก็เป็นทางผ่านฉันนั้น

ปัญหาที่มนุษย์ทุกคนเผชิญอยู่ทุกวันนี้ "ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองมีบาป" และมิใช่ว่า

"ไม่รู้ว่าจะต้องความผิดบาปออก" เพราะศาสนาหรือเครื่องเอ็กซเรย์ก็ได้ชื่อให้เห็นถึง

ความผิดบาปหรือโรคร้ายที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์แล้ว และเขาก็รู้ดีว่าเขาจะต้องเอาออก

แต่ปัญหาของมนุษย์อยู่ที่ว่า "ฉันเป็นคนไข้ ฉันไม่ใช่หมอ ฉันจะช่วยตัวเองได้อย่างไร

ฉันต้องการหมอ" แล้วใครล่ะคือหมอผู้ที่สามารถรักษาโรคบาปนั้นได้
มื่อเรารู้แล้วว่ามนุษย์ทุกคนต่างก็มีเชื้อบาปและก็กำลังแสดงอาการบาปออกมา

ในชีวิต แต่ถ้าเขาไม่ต้องการหมอในการรักษา เขาจะมีเพียง 3 วิธีเท่านั้นในการเผชิญหน้า

กับโรคแห่งความผิดบาปนี้ คือ


1. ปลง - รู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรงแต่ก็ปลงตกตายก็ตาย พวกนี้เป็นพวกไหนในสังคม

ก็คือพวกที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำบาป ทำในสิ่งที่ไม่สมควร ทำในสิ่งที่สังคมรังเกียจแต่จะทำ

อย่างไรได้ บาปก็บาป ตายก็ตาย อยู่อย่างไม่แคร์สังคม ใช้ชีวิตอย่างหมดอาลัยตายอยาก

พวกนี้ส่วนมากจะเป็นใช้ชีวิตอยู่ในคลับ บาร์ ซ่อง คาราโอเกะ และหมกมุ่นอยู่กับ

สิ่งเสพติดต่าง ๆ

2. ปกปิด - พวกนี้พอรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย ก็ปะหน้า ทาแป้ง บอกคนอื่นว่า "ฉันไม่มีโรคร้าย

อะไร" ซึ่งก็สามารถหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองและคนรอบข้างไม่ได้เลย พวกนี้เป็นพวกไหน

ก็คือพวกที่มือข้างหนึ่งทำบุญมืออีกข้างหนึ่งก็ทำบาป มือถือสากปากถือศีล ถือศาสนาแต่

เปลือกนอก แต่แก่นแท้ของศาสนานั้นไม่ยอมปฏิบัติตามพวกนี้พยายามที่จะหลอกตัวเองว่า

"ทำบุญล้างบาปได้" ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว การทำบุญไม่มีทางที่จะล้างบาปได้เลย

3. กินยาแก้ปวด - พวกนี้พอรู้ว่าตัวเองมีโรคร้ายและอาการเริ่มแสดงออกมา แต่เขาก็

ไม่ต้องการหมอ เขาเริ่มรู้สึกปวด ดังนั้น เขาจึงกินยาแก้ปวด ยาแก้ปวดนี้ดี กินบุ๊ป หายบั๊ป

แต่พอยาหมดฤทธิ์ เริ่มปวดอีก และยิ่งมาก็ต้องยิ่งเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยาก็

ไม่ได้รักษาโรคร้ายเพียงแต่ระงับอาการปวดเท่านั้น โรคร้ายก็ยังอยู่เหมือนเดิมพวกนี้เป็น

พวกไหนในสังคม พวกนี้เป็นพวกที่รู้ว่าตัวเองมีบาปและเริ่มเห็นอาการบาปของตนเอง

แต่ก็พยายามช่วยตัวเองโดยการกินยาแก้ปวดเพื่อระงับอาการปวด นั่นก็คือการรักษา

ข้อบังคับทางศาสนา ซึ่งวันไหนรักษาศีล วันนั้นอาการบาปก็ไม่ออก แต่วันไหนหยุดรักษา

หรือเวลาไหนหยุดกินยาแก้ปวด วันนั้นเวลานั้นอาการบาปก็ออกมาอีก ซึ่งยิ่งมาก็ต้องยิ่ง

รักษาศีลมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีทางที่จะรักษาโรคแห่งความผิดบาปได้เลย มันทำได้เพียง

ระงับอาการบาปไม่ให้ปรากฏออกมาเท่านั้น สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น การปลง การปกปิด การกิน

ยาระงับปวด ต่างก็ไม่สามารถขจัดโรคร้ายแห่งความผิดบาปได้เลย และเมื่อพิษของโรคร้าย

แล่นเข้าสู่หัวใจก็ต้องพบกับจุดจบของชีวิตแน่นอน นั่นก็คือ มนุษย์จะไม่มีทางหนีพ้นจาก

การกระทำความผิดบาปของตนเองได้เลย เขาจะต้องพบกับการพิพากษาหลังจากที่

จากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวจริง ๆ (คือการทรมานในนรกเป็นนิตย์)
แต่ด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์จึงได้

ทรงส่งคุณหมอท่านหนึ่งเข้ามาในโลก นั่นก็คือองค์พระเยซูคริสต์ เมื่อขณะที่พระเยซู

อยู่ในโลกนี้ พระองค์ได้ตรัสว่า พระองค์เป็นหมอ "คนเจ็บต้องการหมอ คนปกติไม่ต้องการ

หมอ เราเข้ามาในโลกไม่ใช่มาหาคนที่นึกว่าตัวเองเป็นคนดี แต่เรามาหาคนเหล่านั้นที่รู้ตัว

ว่าป่วยเป็นโรคบาปให้หายจากโรคบาปของเขา" (มาระโก 2.17)



เวลาที่พวกเราต้องการหมอ หรือไปหาหมอ จะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 3 ประการ คือ
1. รู้ตัวว่าป่วย
2. อยากหายจากโรค
3. รู้ว่าช่วยตัวเองไม่ได้


ถ้าคุณไม่ป่วยคุณก็ไม่ต้องการหมอ

ถ้าคุณป่วยแต่ไม่อยากหายคุณก็ไม่ต้องการหมอ

ถ้าคุณป่วย คุณอยากหาย แต่คุณบอกว่าฉันช่วยตัวเองได้ คุณไม่ต้องการหมอ

แต่พระเยซูคริสต์มาหาคนที่รู้ว่าตัวเองป่วย อยากหาย และรู้ว่าช่วยตัวเองไม่ได้

ถ้าวันนี้คุณรู้ว่าคุณป่วยเป็นโรคบาป คุณอยากหายจากโรคบาป และคุณช่วยตัวเองจาก

โรคบาปไม่ได้ ขอเชิญคุณมาหาพระเยซูคริสต์

คนที่เป็นโรคมะเร็งนั้นมีวิธีที่จะรักษาให้หายได้เด็ดขาด โดยการตัดเนื้อร้ายนั้นทิ้ง

แต่พระเยซูทรงทราบดีว่าโรคบาปที่มนุษย์เป็นนั้นไม่มีทางรักษา เป็นแล้วต้องตาย (ลงนรก)

สถานเดียว ดังนั้นด้วยความรักมนุษย์ พระเยซูจึงมาตายบนไม้กางเขน เอาชีวิตของพระองค์

แลกกับชีวิตของคนบาปบนไม้กางเขนนั้นพระองค์ทรงรับการลงโทษแทนทุกคนที่ยอมรับว่า

ตัวเองเป็นคนบาป สำนึกและเสียใจต่อการกระทำของตนเอง และถ่อมใจขอให้พระองค์ช่วยเขา

วิธีรักษาของพระองค์คือเอาโรคบาปของคนที่มาหาพระองค์มาไว้บนพระองค์ (อิสยาห์ 53.4)

เวลาเราไปหาคุณหมอ เราไม่จำเป็นต้องไปช่วยคุณหมอรักษา เพียงแต่บอกอาการ

คุณหมอก็จะรักษาให้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราอยากหายจากโรคบาป ขอเพียงแต่เราพูดกับ

พระเยซูคริสต์ (ที่ไหนก็ได้) บอกพระองค์ว่า "พระเยซูฉันเป็นคนบาป ฉันอยากหาย

ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ช่วยฉันที ขอทรงโปรดยกโทษความบาปให้ฉันด้วย และขอพระองค์

เข้ามาในใจฉัน ช่วยฉันอย่าให้ทำบาปอีก ขอในนามพระเยซู อาเมน"
เท่านี้ พระองค์ก็จะ

ทรงยกโทษความผิดให้แก่เรา (ถ้าเราพูดจากใจจริง)

ผู้อ่านที่รัก พระเจ้าทรงให้โอกาสคุณรอดจากการพิพากษา ตราบที่คุณยังมี

ลมหายใจอยู่เท่านั้น ถ้าคุณหมดลมหายใจเมื่อไหร่ ก็หมดโอกาสเมื่อนั้น พระองค์

จะไม่บังคับมนุษย์ แต่พระองค์จะให้มนุษย์เลือก พี่น้องครับคุณป่วยเป็นโรคบาปหรือไม่

คุณอยากหายจากโรคบาปใช่ไหม คุณไม่สามารถช่วยตัวเองจากโรคบาปได้ใช่ไหม

คุณพยายามดิ้นรนต่อสู้กับโรคบาปอยู่หรือเปล่าถ้าใช่ ขอเชิญคุณมาหาคุณหมอคนนี้ คือ

องค์พระะเยซูคริสต์


?? ตั้งคำถามตัวเอง ????

?? ตั้งคำถามตัวเอง ????

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 / 5 / 2010 11:36 โดย sinner



บทความสอนใจ

ตั้งคำถามตัวเอง

อ.วีระชัย โกแวร์

เด็กที่เจริญเติบโตตามวัย จะมีวัยหนึ่งที่เขาจะถามไม่หยุด เช่น นั่นคืออะไร ทำไม หมายความว่าอะไร ฯลฯ นั่นเป็นพัฒนาการตามปกติ แต่คนถูกถามเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายบางทีก็เบื่อ บางคนก็ดุเด็ก บางคนเดินหนี เพราะมันเป็นคำถามซ้ำซากและจุกจิกกวนใจ

มีเรื่องเล่ากันว่าขณะที่พ่อกำลังให้ลูกนอน ลูกถามพ่อว่าเพราะอะไรห่านจึงร้องเสียงดัง คุณพ่อตอบว่าเพราะห่านคอมันยาว แต่ลูกถามต่อไปว่าเพราะอะไรอึ่งอ่างคอสั้นจึงร้องเสียงดัง พ่อไม่ตอบและบอกกับลูกว่าอย่าพูดมากนอนเสีย วัยเด็กเป็นวัยอยากรู้อยากเห็นและเต็มไปด้วยจินตนาการ ฉะนั้นขอให้ผู้ใหญ่มีความอดทนฟังเพื่อเราจะไม่เป็นอุปสรรคการปลดปล่อย ศักยภาพของเด็ก

การตั้งคำถามไม่เพียงแต่มีคุณค่าสำหรับเด็กเท่านั้น แต่มีคุณค่าสำหรับผู้ใหญ่ด้วย ถ้าคนเรารู้จักตั้งตำถามให้กับตนเอง คำถามเหล่านั้นสามารถจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้กับชีวิต คำตอบที่ชัดเจนในใจจะนำพาผู้นั้นไปสู่ความสำเร็จ วันนี้ผมแนะนำคำถามที่เป็นประโยชน์และผมหวังว่าคำตอบของคุณจะช่วยให้เกิด ความชัดเจนในการดำเนินชีวิตและกิจการงาน

1. เรากำลังทำอะไร เรา จะต้องตื่นตัวอยู่เสมอ รู้ตัวตลอดเวลาว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ การทำอะไรก็ตามต้องสูญเสียพลังงาน พลังความคิด และเสียเวลา ฉะนั้นแต่ละคนจะต้องคิดวางแผนให้ดีก่อนที่จะลงมือทำ สิ่งที่ทำอยู่มีคุณค่าควรแก่การทำหรือไม่ สำหรับนักเรียนสมควรไหมที่จะเที่ยวเสเพลขณะที่ควรจะศึกษาเล่าเรียน สำหรับชาวไร่ชาวนาควรจะไปหาความสุขความ สนุกและความเพลินเพลิน ขณะที่ฤดูเกี่ยวมาถึงแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่สมควรไหมที่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยเหมือนไม่มีอะไรเกิด ขึ้น จงเฝ้าดูตัวเองและถามว่ากำลังทำอะไรอยู่

2. เพราะอะไรจึงทำ ขณะที่กำลังทำอยู่ควรตั้งตำถามนี้คือ งานที่เราคิดดีแล้วว่าเป็นสิ่งที่ตรงกับคุณค่าภายใน เป็นสิ่งที่ตรงกับความฝัน ตรงกับคุณค่าที่ถูกกำหนดภายใน เราคงได้ยินคำพูดที่ว่าขโมยตัวสำคัญคือเสียเวลากับการทำสิ่งดีๆ แต่ละเลยสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดคือคำถามที่ทายกระบวนการทำงานของเรา เราทำเพราะคนอื่นเขาทำกัน เราทำเพราะคล้อยตามค่านิยมผู้อื่น หรือเราทำเพราะตัวเองค้นพบคุณค่าภายในสิ่งนั้นจากตนเอง

3. เพราะอะไรจึงตัดสินใจเลือกทำวิธีที่ทำอยู่ เราทำวิธีนี้เพราะมันง่าย สะดวก และใครๆ ก็ทำกัน เราแน่ใจหรือไม่ว่าวิธีนี้จะนำไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ การเลือกวิธีทำก็เหมือนเลือกถนนเดิน ถ้าวิธีการไม่ถูกจะมีผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผล 4. นอกจากวิธีนี้จะมีวิธีอื่นไหม การมีผลลัพธ์อย่างเดียวกันไม่จำเป็นต้องมีวิธีเดียวกัน การทำให้ได้ผลลัพธ์เป็น 4 ไม่จำเป็นต้อง 2+2 เสมอไป ถ้าเราคิด ค้นคว้า และร่วมกันคิด เราจะพบว่านวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ต้องจมปลักอยู่กับร่างความคิดเดิมๆ

ลองหาเวลาถามตัวเอง และเราจะเห็นคำตอบที่น่าทึ่ง


คริสจักรร่มเย็น

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในยุคสุดท้าย hs
กิจการ 2:17
– ก่อน และ หลัง
กิจการ 2:17 เป็นข้อพระธรรมที่มีนัยสำคัญสำหรับยุคสุดท้าย (ซึ่งอ้างอิงมาจาก โย เอล 2:28)
กิจการ 2:17-21

17 “พระเจ้าตรัสว่าในวาระสุดท้าย เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเราโปรดประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง บุตราบุตรีของท่านทั้งหลายจะกล่าวคำพยากรณ์ คนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และคนแก่จะฝันเห็น 18ในคราวนั้น เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเราบนทาสทาสีของเรา และคนเหล่านั้นจะกล่าวคำพยากรณ์ 19เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในอากาศเบื้องบน และนิมิตที่แผ่นดินเบื้องล่าง เป็นเลือด ไฟ และไอควัน 20ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือด ก่อนถึงวันใหญ่นั้น คือวันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า 21และจะเป็นเช่นนี้คือ ทุกคนซึ่งได้ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด”

ซีโมนเปโตรได้เทศนาพระธรรมตอนนี้ให้ฝูงชนฟัง ในทันใดนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เทลงมาในเช้าวันเพนเทคอสต์ ท่านได้อธิบายว่าสิ่งที่ผู้คนเห็นเป็นการเริ่มต้นของความสำเร็จของคำพยากรณ์ ของท่านโยเอล

ผมเชื่อว่าเปโตรได้อ้างข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ทันทีหลัง จากการเทลงมาของพระวิญญาณเพราะว่าเขาพวกเขาได้ใคร่ครวญข้อนั้นก่อนการเทลงมา ของพระวิญญาณ ท่านไม่เพียงอ้างข้อพระธรรมเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนหลังเท่า นั้น เขาได้อ้างอิงไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อทำให้มันได้เกิดขึ้น

ข้อพระธรรมนี้คือกุญแจการฟื้นฟูโลก ขณะที่เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการเทลงมาของพระวิญญาณทันทีหลังจากการเสด็จ กลับมาครั้งแรกของเยชัว ดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของการเทลงมาของพระวิญญาณทันทีก่อนการ เสด็จกลับมาครั้งที่สองด้วย

เยชัว ได้อยู่กับสาวก 40 วัน และทรงสอนเขาหลังจากที่ทรงฟื้นพระชนม์ (กจ.1:3) พระองค์ต้องสอนข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งให้เขา ซึ่งต้องเป็น โยเอล 2:28 สาวก 120 คน เป็นหนึ่งเดียวกัน อธิษฐานกันทุกวันก่อนที่ไฟจะตกลงมาในเช้าวัน Shavuot (กจ.1:14,2:1) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้อพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่เขาได้อธิษฐาน ใคร่ครวญ และประกาศด้วยความเชื่อคือคำพยากรณ์ของโยเอล

ขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปิดเผยสำแดงถึงความสำคัญของข้อนี้ ดังที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นำเราให้เห็นถึงความสำคัญก่อนที่จะถึงความ บริบูรณ์ในศตวรรษที่ 21 ชุมชนเล็กๆ ของชาวยิวที่เชื่อในพระเมสิยาห์ในประเทศอิสราเอลเมื่อสองพันปีก่อนนั้นเชื่อ ในพระคัมภีร์ว่าจะบรรลุผลสำเร็จในสมัยของเขา เขาทั้งหลายเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเทมาบนเขาและมีอิทธิพลต่อทั้งโลก เขาจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คำพยารณ์ในยุคสุดท้ายสำเร็จ และส่งผลถึงวันเวลาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

แล้วทำไมเราไม่สามารถทำเหมือนเขาล่ะ ?

ที่จริงแล้ว เราควรเชื่อที่จะทำยิ่งกว่านั้นอีก เราเข้าใกล้เวลาของการเสด็จมาครั้งที่สองยิ่งกว่าพวกเขาอีก เรามีโอกาสที่จะมีอิทธิพลต่อโลกและจุดการฟื้นฟูในคริสตจักรมากกว่าพวกเขา ถ้าเกิดขึ้นกับพวกเขาได้ ก็สามารถเป็นไปได้สำหรับเราด้วย

กิจการ 2:17
คือคำพยากรณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟูนานาชาติในยุคสุดท้าย ข้อนี้เป็นยิ่งกว่าคำบรรยาย แต่เป็นคำพยากรณ์ที่มีศักยภาพที่จะทำให้สำเร็จได้ เป็นคำสัญญาที่รอคอยการถูกไถ่ ขณะที่อิสยาห์ 53:5 ("โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หาย") มีองค์ประกอบของการรักษาในฝ่ายร่างกาย ดังที่ระบุในโยเอล 2:28 ("เราจะเทวิญญาณของเราบนเนื้อหนังทั้งปวง") ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูทั้งโลก

สิ่งที่ ขาดอยู่ คือ กลุ่มคนที่ จะเชื่อ ใคร่ครวญ เชื่อฟัง อธิษฐาน ประกาศ และ เผยพระวจนะ เราจะมุ่งไป แล้วคุณจะร่วมกับเราไหม??

[หมาย เหตุ : โยเอล เป็นผู้เผยพระวจนะชาวฮีบรู ได้เห็นถึงคำพยากรณ์ของการฟื้นฟูนี้ในบริบทของคำสัญญานิรันดร์ของลิขิตของ อิสราเอล โครงสร้างของหนังสือโยเอล มีลำดับดังนี้ 1) แผ่นดินถูกทำลายเพราะความบาป 2) อธิษฐาน อดอาหาร และกลับใจใหม่ 3) การรื้อฟื้นประเทศอิสราเอล 4) คำพยากรณ์ถึงการฟื้นฟูจิตวิญญาณ 5) วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่กำลังจะมาถึง 6) การพิพากษาของประชาชาติที่โจมตีอิสราเอล และ 7) การรื้อฟื้นสวรรค์บนแผ่นดินโลก บริบทของการกำเนิดคำพยากรณ์เป็นบริบทเดียวกับที่คำพยากรณ์สำเร็จ

ข้อมูลเพื่อการอธิษฐานจาก อาเชอร์ อินเทรเดอร์

30 ตุลาคม 2009

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้ที่ทำให้เกิดความหว่งใย แต่ก็ยังคงมีหลายสิ่งที่นำมาซึ่งความหวังแห่งชัยชนะ ภาพโดยรวมก็คือสิ่งที่แย่ก็จะแย่มากขึ้น และ สิ่งที่ดีก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ (อิส ยาห์ 60:2) ให้เรามาพิจารณาดูข้อพระคัมภีร์ 7 ข้อ ที่มีคำว่า “ ทั้งหมด หรือ ทุก” เพื่อให้เห็นภาพ แนวโน้มมหภาพ 7 แนวใหญ่ๆ ที่มีผลกระทบต่อโลกของเราในยุคสุดท้ายนี้

1. รัฐบาลโลกที่ไม่มีคุณธรรม ใน วิวรณ์ 13:7 –7[ทรง ยอมให้มันทำสงครามกับธรรมิกชน และชนะเขา ทรงประทานให้มันมีอำนาจเหนือชนทุกเผ่า ทุกชาติ ทุกภาษา และทุกประชาชาติ 8 ทรงประทานอำนาจให้สัตว์ร้าย ให้ทำสงครามกับธรรมิกชน และ ชนะเขา ทรงประทานให้มันมีอำนาจในการปกครองทุกชาติ ทุกภาษา ทุกประเทศ จะมีรัฐบาลกลางของนานาชาติ ที่ชั่วร้ายและโหดร้ายทารุณ ซึ่งจะปกครองนานาประเทศ และทำให้เกิดการข่มเหงต่อผู้เชื่อแท้

2. คริสตจักรนานาชาติที่เต็มไปด้วยพระสิริ วิวรณ์ 7:9 –ต่อจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็มองดู และ ดูเถิด คนมากมายเหลือคณามาจากทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา คนเหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว ถือใบตาลยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก 10---ในเวลาเดียวกันก็จะมีชุมชนผู้เชื่อแท้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายในนานา ประเทศทั่วโลก เขาจะใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ มีคุณธรรมจริยธรรม กลุ่มชนต่างๆ แสดงความเชื่อของเขาผ่านทางวัฒนธรรมและภาษาของเขา นมัสการในการทรงสถิตของพระวิญญาณ พวกเขาเต็มไปด้วยความหวังในการเสด็จกลับมาของพระเมสิยาห์ในโลกนี้

3. ศาสนาของโลกที่ชั่วร้าย วิวรณ์ 13:8 – 8และคนที่อยู่ในแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น เว้นแต่คนทั้งปวงที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ทรงถูก ปลงพระชนม์ ซึ่งบันทึกไว้ตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก รัฐบาลโลกที่ชั่วร้ายก็จะสร้างศาสนาโลกที่ชั่วร้ายมาคู่กัน เป็นศาสนาที่โหดร้ายเรียกร้องการนมัสการด้วย ธรรมิกชนที่แท้จริงจะไม่ยอมประนีประนอม แต่คนที่ไม่มีความเชื่อ ไม่มีความเข้าใจ ไม่กล้าหาญก็จะยอมก้มหัวให้ การเรียกร้อง ให้นมัสการศาสนาที่ชั่วร้าย จะคล้ายคลึงกับการเรียกร้องในสมัยของเนบูคัดเนสซาร์ การปฎิเสธที่จะกราบนมัสการ ต้องใช้ความสัตย์ซื่อของชาวยิวสามคนที่ได้รับการช่วยให้รอดชีวิตอย่าง อัศจรรย์จากเตาไฟ (ดาเนียล 3)

4. การเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ กิจการ 2:17 – “ พระเจ้าตรัสว่าในวาระสุดท้าย เราจะเท
ฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเรา โปรดประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง บุตราบุตรีของท่านทั้งหลายจะกล่าวคำพยากรณ์ คนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และคนแก่จะฝันเห็น” ในเวลาเดียวกันคนอธรรมก็จะนมัสการสัตว์ร้าย จะมีการฟื้นฟูท่ามกลางคนชอบธรรม ไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเทลงมาในยุคสุดท้าย เพนเทคอสต์จะไปทั่วทุกส่วนในโลก คริสตจักรที่แท้จริงในทุกประเทศจะมีประสบการณ์กับการฟื้นฟูคล้ายคลึงกันกับ ที่เกิดขึ้นกับชาวยิวในศตวรรษแรกดังปรากฎในพระธรรมกิจการบทที่2 (โย เอล 2-3) ซึ่งจะมีหมายสำคัญการอัศจรรย์ การรักษาโรค การเผยพระวจนะ

5. การฟื้นฟูในประเทศอิสราเอล โรม 11:26 – 26และเมื่อเป็นดังนั้น พวกอิสราเอลทั้งปวงก็จะได้รับความรอด ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมาจากเมืองศิโยน และจะทรงกำจัดอธรรมให้สูญสิ้นไปจากยาโคบ และจะเกิดการฟื้นฟูทั่วโลก และในอิสราเอล การฟื้นฟูในยุคแรกเกิดขึ้นในอิสราเอลเท่านั้น การฟื้นฟูในยุคสุดท้ายก็จะเกิดในอิสราเอลและในนานาประเทศด้วย ทุกวันนี้ยังคงมีอิสราเอลที่เชื่อในพระเมสิยาห์เหลืออยู่ในอิสราเอล ซึ่งจำนวนจะเพิ่มขึ้นจนปริมาณมวลชนที่เพิ่มขึ้นจนเป็นประเด็น แล้วไฟเพนเทคอสต์จะลุกโชติช่วงไปทั่วโลกซึ่งจะส่งผลไปในสองทิศทาง การเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในนานาชาติ และ ในอิสราเอล ทำให้เกิดการฟื้นฟูในบรรดาประชาชาติ

6. การต่อต้านอิสราเอล และ ต่อต้านศิโยน ที่เพิ่มทวีมากขึ้น เศคาริยาห์ 14:2 –2เพราะเราจะรวบรวมประชาชาติทั้งสิ้นให้ทำศึกกับเยรูซาเล็ม เมืองนั้นจะถูกยึด เขาจะปล้นเอาทรัพย์ในเรือนและข่มขืนผู้หญิง พลเมืองครึ่งหนึ่งจะตกไปเป็นเชลย ประชาชนส่วนที่เหลืออยู่จะไม่ถูกตัดออกเสียจากเมือง รัฐบาลกลางที่ชั่วร้าย จะไม่เพียงแต่ก่ออาญากรรม ข่มเหงธรรมมิกชน เรียกร้องให้นมัสการศาสนาเทียมเท็จ รัฐบาลจะเต็มไปด้วยการโกหก การโฆษณาชวนเชื่อให้ต่อต้านอิสราเอล ต่อต้านศิโยน คล้ายปรากฎการณ์ฆ่าล้างชาวยิวในหนังสือเอสเธอร์ ในที่สุดรัฐบาลกลางก็จะช่วยรวบรวมนานาชาติให้ร่วมกันจู่โจมเยรูซาเล็ม ศาสนา และ การเมือง และเมืองหลวงของอิสราเอล สงคราม This apocalyptic warนี้ จะรวบรวมการกระทำที่ชั่วร้ายเพื่อท้ายที่สุดจะร่วมกันเป็นกบฏต่อพระเจ้าและ พระเมสิยาห์ของเขา ( สดุดี 2 ) ในเวลานั้น เยชัวจะกลับมาต่อสู้กับนานาชาติที่โจมตีกรุงเยรูซาเล็ม สงครามนั้นอยู่ในบริบทที่เยชัวจะทำการพิพากษาประชาชาติ การสงครามของพระองค์ที่ต่อต้านเขาทั้งหลายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการพิพากษา ที่สหประชาชาติ นายกรัฐมนตรี เนธันยาฮู ได้กล่าวว่าแต่ละประเทศต้องตัดสินใจว่าจะยืนเคียงข้างอิสราเอลหรือผู้ก่อการ ร้าย

7. รากเหง้าของคริสเตียน เศคาริยาห์ 14:16 –16และอยู่มาบรรดาคนที่เหลืออยู่ในประชาชาติทั้งปวงซึ่งยกขึ้นมาสู้รบกับ เยรูซาเล็ม จะขึ้นไปนมัสการกษัตริย์ปีแล้วปีเล่า คือพระเจ้าจอมโยธา และจะถือเทศกาลอยู่เพิง ขณะที่นานาชาติโจมตีอิสราเอล แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนในประเทศนั้นจะเห็นพ้องต้องกัน ตรงกันข้ามเลยทีเดียว ในทุกประเทศ จะมีผู้ที่เหลืออยู่ในฝ่ายวิญญาณที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า มีชีวิตที่บริสุทธิ์ และสอดคล้องกับอิสราเอลก่อนการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง คริสตจักรนานาชาติ และ ชาวยิวที่เชื่อในพระเมสิยาห์ในอิสราเอลจะถูกต่อกิ่งเข้าด้วยกัน(โรม.11) คือความเชื่อและพันธสัญญาที่จะเชื้อเชิญเยชัว ให้กลับมาปกครองโลกจากกรุงเยรูซาเล็ม (อสย.2:1-4, มีคาห์ 4:1-5, วิวรณ์ 11:15, มัทธิว 6:10)

โปรดอธิษฐานเผื่อพันธกิจการประกาศโดยชาวยิวในประเทศอิสราเอล การปลูกชุมชนผู้เชื่อ งานของศูนย์สร้างสาวก การเฝ้าระวังอธิษฐานในภาษาฮีบรู การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ยากไร้

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กว่าจะมาเป็นช็อคโกแลต (สไตล์OTOP เม็กซิกัน)

กว่าจะมาเป็นช็อคโกแลต (สไตล์OTOP เม็กซิกัน)






เป็นที่รู้กันว่าที่มาของช็อคโกแลตก็ คือ ผลโกโก้ นั่นเอง และถึ่นกำเนิดของโกโก้ก็มาจากเม็กซิโก ผู้ที่นำมาเผยแพร่สู่ยุโรปคนแรกก็คือ เฮอร์นานโด คอร์เตซ ( Hernando Cortez the first Conquistador ) ผู้พิชิตเม็กซิโกหรืออาณาจักรแอซแทค ( จะว่าไปก็ปล้นเขามาอ่ะนะ ) ในสายตาขอชาวคริสต์ เขาคือ นักผจญภัย, นักเดินเรือ และมิชชันนารีผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถเปลี่ยนคนป่าเถื่อนให้ยอมรับศาสนาคริสต์ได้ แต่ในสายตาของชนพื้นเมือง คอร์เตซคงไม่ต่างอะไรจากโจรปล้นชาติที่นำทุกอย่างไปจากชาวแอซแทค ช็อคโกแล ตก็เป็นหนึ่งในของแปลกใหม่ที่คอร์เตซนำกลับไปยุโรป จากนั้นเป็นต้นมาช็อคโกแลตได้ถูกวิวัฒนาการทั้งรสชาติ,รูปแบบการบริโภคและ การแปรรูปในแบบต่างๆโดยชาวยุโรปจนเป็นที่รู้จักทั่วโลก



เฮอร์นานโด คอร์เตซ ผู้พิชิตแอซแทค




จักรพรรดิมอนเตซูมาแห่งแอซแทค ผู้โดนพิซิต


แต่กระนั้นกรรมวิธีแปรรูปและรูปแบบการบริโภคในเม็กซิโกยังคงค่อนข้างเป็น แบบดั้งเดิมเหมือนครั้งที่ยังเป็นอาณาจักรแอซแทค ชาวเม็กซิกันยังนิยมบริโภคช็อคโกแลตในรูปแบบของเครื่องดื่มและเป็นวัตถุดิบ สำหรับประกอบอาหาร (?? งงล่ะสิ เอามาทำอาหารได้ด้วยเหรอ??) เรามาดูกรรมวิธีการแปรรูปแบบดั้งเดิมเริ่มตั้งแต่การเก็บเกี่ยว ( Havest ) การหมักบ่ม ( Fermentation ) การตากและอบแห้ง ( Drying ) ทีล่ะขั้นตอนกันเลยนะครับ

ปัจจุบันผลผลิตโกโก้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์มาจากแอฟริกา จึงไม่แปลกนะครับที่จะเห็นคนงานเป็นชาวแอฟริกา เมื่อผลโกโก้สุกแก่ถูกสอยจากต้นมาแล้วจะทำการผ่าออกและแกะเอาเม็ดในออกมา ก็จะเห็นเป็นแบบนี้..





และเมื่อตัดผ่านเม็ดจะเห็นเมล็ดโกโก้เป็นสีม่วงอมน้ำตาล (สีขาวเป็นเนื้อโกโก้ครับ) เมล็ดโกโก้นี้เมื่อนำไปหมักบ่มจะกลายเป็นสีน้ำตาล




การเก็บและแกะเมล็ดโกโก้จะต้องทำอย่างระมัดระวัง ผู้เก็บจะต้องมีทักษะพอ สมควรที่จะไม่ทำให้เมล็ดเสียหายได้




การหมักบ่มจะเริ่มทันทีที่เก็บเมล็ดมาถึงโรงบ่ม เมล็ดโกโก้จะถูกเทผึ่งในกระบะไม้และวางไว้ในที่แจ้งโดยจะปิดเมล็ดโกโก้ด้วย ใบตอง เมื่อแสงแดดส่องลงมาใบตองจะกักความชื้นให้เมล็ดโกโก้ (เหมือนการนึ่งกลายๆ) เมื่อเมล็ดโกโก้คายความชื้นออกมาจะเกิดปฎิกริยาเคมี เนื้อโกโก้สีขาวที่มีน้ำตาลผสมอยู่จะเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นผลมาจาก ยีสต์ตามธรรมชาติ เมื่อบ่มต่อไปเรื่อยๆ จากแอลกอฮอล์ก็จะเปลี่ยนเป็นกรดอาซิติคซึ่งจะค่อยๆเปลี่ยนเมล็ดโกโก้เป็นสี น้ำตาลเข้มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อกลิ่นและรสชาติที่ดีขึ้น ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-7 วันก็จะไปสู่ขั้นตอนการตากแห้ง




เมื่อสิ้นสุดกระบวนการหมักบ่ม เมล็ดโกโก้ยังมีความชื้นสูงอยู่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ( จากที่เก็บมาครั้งแรก ) จำเป็นจะต้องทำให้แห้งโดยการตากโดยให้เหลือความชื้นได้แค่ 5-7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมล็ดโกโก้จะถูกเกลี่ยบนแคร่ไม้หรือบนลานเพื่อให้แดด ส่องอย่างทั่วถึง การตากแห้งนี้จะใช้รยะยเวลา 5-7 วัน ในขั้นตอนนี้เมล็ดโกโก้ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นและรสชาติอย่างต่อ เนื่อง เมล็ดโกโก้จะแห้งเร็วยิ่งขึ้นและไม่เกาะติดกันเมื่อผ่านการล้างก่อนที่จะนำ มาตากให้แห้ง แต่ก็เป็นการเสี่ยงที่จะทำให้เมล็ดแตกหักได้ในระหว่างการล้าง เมื่อเมล็ดแห้งแล้วจะถูกบรรจุกระสอบเพื่อจัดส่งไปยังโรงงาน


ที่โรงงานช็อคโกแลตในรัฐโอซาคา, เม็กซิโก เมล็ดโกโก้จะถูกคัดแยกเกรดอีกครั้ง เพื่อเตรียมสำหรับการคั่ว




หม้อคั่วจะเป็นทรงกลมหมุนติ้วๆในขณะที่คั่ว ทุกๆ 20 นาที เจ้าหน้าที่จะเปิดหม้อคั่วและดูว่าคั่วได้ที่แล้วหรือยัง ระยะเวลาการคั่วขึ้นอยู่กับคุณภาพของเมล็ดโกโก้ดิบแต่จะไม่เกิน 40 นาที เมื่อได้สีและกลิ่นที่ต้องการแล้วก็จะหยุดและเปิดออกมาพึ่งให้เย็นในถาดไม้ ขนาดใหญ่






เมื่อเมล็ดโกโก้เย็นแล้วจะนำไปบดละเอียด เพื่อให้ได้ช็อคโกแลตดิบ หรือ ช็อคโกแลตลิเคอร์ ซึ่งหากทิ้งไว้ให้เย็นตัวลงช็อคโกแลตลิเคอร์ก็จะแข็งเยี่ยงหิน




ออกมาแล้วครับ พอมันแข็งก็เอาไปบดเป็นผงผสมกับน้ำตาล, อัลมอนด์บด, อบเชยและส่วนผสมอื่น




เมื่อบดช็อคโกแลตผสมกันเรียบร้อยก็นำมาอัดแท่งอีกที แล้วแพคห่อบรรจุขายต่อไป




Ibarra Mexican Chocolate รสยอดนิยม แพ็คกิ้งแสนย้อนยุค...





ที่มา : http://www.oknation.net/blog/bakingclub/2007/09/05/entry-1

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ลงโทษลูก...ที่ถูกที่ควร

ลงโทษลูก...ที่ถูกที่ควร

ลงโทษลูก...ที่ถูกที่ควร



ลงโทษ...ที่ถูกที่ควร (momypedia)
โดย: จิรภัทร

การลงโทษเป็นการ ลดหรือหยุดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่ถูกวิธีของลูกหรือเปล่า เราลองมาช่วยหาวิธีลงโทษเจ้าตัวเล็กอย่างถูกวิธีกันนะคะ

การลงโทษนั้นอาจเป็นดาบสองคม มีทั้งประโยชน์และโทษในตัวเองค่ะ หากลงโทษด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม เช่น รุนแรงเกินไปไม่สมเหตุ สมผลอาจกระตุ้นให้เจ้าหนูเกิดพฤติกรรมก้าว หรือการลงโทษที่ทำให้เจ้าหนูอับอาย ก็จะทำให้ขาดความมั่นใจ แต่ถ้านุ่มนวลเกินไป พฤติกรรมนั้นๆ ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและเป็นปัญหาเช่นกันค่ะ

คิด...ก่อนลงโทษหนู

พิจารณา ความผิดและการลงโทษให้สัมพันธ์กัน เช่น ความผิดครั้งแรก ความผิดร้ายแรง หรือความผิดไม่รุนแรง ระดับความรุนแรงของการลงโทษควรแตกต่างกันค่ะ หรือหยั่งเสียงถามความคิดเห็นกับเจ้าตัวเล็กก่อนก็ได้ค่ะ ว่าเขามีความเห็นอย่างไรกับการ ที่ถูกทำโทษ และเขาคิดว่าควรถูกลงโทษอย่างไรจึงจะเหมาะสม

ตีความเจตนารมย์การกระทำของน้องหนูด้วยนะคะว่า ตั้งใจทำความผิดนั้นหรือเปล่า

การลงโทษทุกครั้ง จะต้องบอกเหตุผลให้ชัดเจนถึงพฤติกรรมที่เจ้าหนูกระทำ เพราะวัยนี้เข้าใจความเกี่ยวข้องระหว่างการกระทำ และผลของการกระทำนั้นแล้วล่ะค่ะ เช่น "คุณแม่ไม่ให้หนูเล่นตุ๊กตาแล้ว เพราะว่าหนูหยิกน้อง น้องก็เจ็บเหมือนกัน"

ควรลงโทษทันทีที่เจ้าหนูทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ถ้าปล่อยไว้นาน เขาอาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าตนเองทำอะไรผิด

การตัดสินใจลงโทษต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลนะคะ ไม่ควรอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์โกรธค่ะ

เลือกลงโทษอย่างเหมาะสม

พิจารณาลงโทษตาม สถานการณ์และความเหมาะสมได้ดังนี้

1. การ ตำหนิ เป็นการใช้คำหรือประโยคกับเจ้าตัวเล็กเพื่อให้หยุดกระทำพฤติกรรม เช่น "แม่ต้องการให้หนูหยุดระบายสีที่ข้างฝานะคะ ข้างฝาเลอะเทอะไปหมดแล้ว" ซึ่งควรตำหนิด้วยน้ำเสียงปกติ ร่วมกับการใช้ภาษาท่าทาง เช่น การจับตัว การมองตาหรือการแสดงออกทางสีหน้า

2. การใช้เวลานอก (Time Out) คือ การจำกัดพื้นที่ หรือแยกเจ้าหนูออกมาต่างหาก เช่น แยกไปอยู่ในห้องที่ว่างเปล่า หรือแยกออกมาจากกลุ่ม เพื่อให้เจ้าหนูได้นั่งเฉยๆ ในที่ที่สงบ เพื่อคิดทบทวนพฤติกรรม หรือสิ่งที่ได้ทำลงไป

3. การ ปรับสินไหม คือ การถอดถอนตัวเสริมแรงทางบวก เช่น ดาวหรือแต้มคะแนน หลังจากที่เจ้าหนูแสดงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ซึ่งทั้งดาวและแต้มคะแนนนั้น สามารถนำมาแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เจ้าตัวเล็กต้องการ เช่น ขนม การพาไปเที่ยว ของเล่น

อย่าลืมนะคะ ถ้าเจ้าหนูหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแล้ว ต้องให้คำชมหรือให้รางวัลอื่น ๆ เพื่อให้เขาแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อไปด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก:http://women.kapook.com/view12850.html และ Momy Pedia

บทความ ประเทศที่เล็ก ที่สุดในโลก (ไม่ใช่ วาติกัน)

บทความ ประเทศที่เล็ก ที่สุดในโลก (ไม่ใช่ วาติกัน)

ซีแลนด์เป็นประเทศในทะเลเหนือ อยู่ห่างจากชายฝั่งอังกฤษไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร (ประมาณ 6 ไมล์ทะเล)
เมืองหลวงคือซีแลนด์ (กินเนื้อที่ทั้งหมดของประเทศ)





บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ปกครองโดยระบอบกษัตริย์
เพลงประจำชาติคือ E mare libertas ("เสรีภาพจากท้องทะเล" เป็นคำขวัญประจำชาติด้วย)
หน่วยเงินคือซีแลนด์ดอลล่าร์ (SXD, SX$ หนึ่งดอลล่าร์สหรัฐมีค่าเท่ากับหนึ่งดอลล่าร์ซีแลนด์)
มีเนื้อที่ 0.000207 ตารางกิโลเมตร (207 ตารางเมตร) และประชากร 4 คน .....

ซีแลนด์ประกอบไปด้วยฐานซึ่งฝังอยู่ใต้ทะเล เสาทรงกลมขนาดใหญ่สองต้น และดาดฟ้า ในส่วนเสากลมแบ่งเป็นเด็ค 7 ชั้น (A-G)
ชั้น A คือดาดฟ้าและเป็นที่วางเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ชั้น B อยู่เหนือทะเล ส่วน C-G อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล
ในสมัยสงคราม ชั้น B-E เคยถูกใช้เป็นที่เก็บเสบียงอาหารและที่พัก ชั้น F เป็นคลังอาวุธ และชั้น G เป็นที่เก็บของอื่นๆ

อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะมีคนเริ่มเดาออกแล้ว แต่เดิมซีแลนด์ก็คือหนึ่งในสี่ป้อมกลางทะเล (HM Fort Roughs หรือเรียกกันว่า Rough Towers) ที่อังกฤษสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 1944 นั่นเอง ในระหว่างสงคราม เคยมีทหารประจำการอยู่ที่นี่ประมาณ 150-300 นาย หากเมื่อสงครามจบลง ป้อมก็ถูกทิ้งให้ร้างไปตั้งแต่ปี 1956

วันที่ 2 กันยายน 1967 แพดดี้ รอย เบทส์ อดีตเรือโทประจำกองทัพเรืออังกฤษซึ่งในขณะนั้นเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุเถื่อน ได้ประกาศให้ป้อมกลางทะเลดังกล่าวแยกตัวเป็นอิสระจากเขตแดนของอังกฤษ และตั้งชื่อประเทศว่าซีแลนด์
รวมทั้งตั้งตัวเองเป็น เจ้าชายรอย เบทส์ หรือเรียกอีกชื่อว่า Roy of Sealand

แน่นอนว่าทางอังกฤษย่อมไม่อยู่เฉย ทำการฟ้องศาลให้รอย เบทส์ถอนตัวออกจากป้อมในทันที หากผลการตัดสินซึ่งออกมาในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1968 ศาลได้ประกาศว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่อยู่ในเขตแดนอังกฤษ
รวมทั้งไม่มีประเทศใดรอบข้างอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว จึงถือว่าพื้นที่นั้นอยู่นอกเขตการปกครองของอังกฤษด้วย อาจจะนับได้ว่าซีแลนด์สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากอังกฤษได้โดยปริยาย

จะอย่างไรก็ดี แม้ซีแลนด์จะถือเป็นเขตแดนที่เป็นอิสระจากการปกครองของประเทศอื่น หากโดยสนธิสัญญามองเตวิเดโอ (Treaty of Montevideo) ซึ่งกล่าวว่าการที่ประเทศหนึ่งจะนับเป็นประเทศอย่างเป็นทางการได้นั้น
จะต้องมีคำยอมรับจากประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของสหประชาชาติเสีย ก่อน และในปี 2008 ปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีประเทศใดเลยจากจำนวน 192 ประเทศที่ยอมรับว่าซีแลนด์เป็นประเทศอย่างสมบูรณ์ (คงเพราะมีอังกฤษคอยเขม่นอยู่)
ประชากรของซีแลนด์ในตอนนี้ประกอบไปด้วย เจ้าชายรอย เบทส์, เจ้าหญิงโจน เบทส์, เจ้าฟ้าชายไมเคิ่ล และทหารอีกหนึ่งคน (ทหารคนนี้กับปืนไรเฟิ่ลหนึ่งกระบอกถือเป็นกองกำลังประจำเพียงหนึ่งเดียวของ ประเทศ
หากในสถานการณ์คับขัน เจ้าชายรอย เบทส์ยืนยันว่าเขาสามารถรวบรวมกำลังทหารมาได้จากทั่วโลก (ทหารรับจ้าง?))
รายได้หลักคือการขายตำแหน่งขุนนาง เหรียญที่ระลึกและแสตมป์ ทั้งยังมีการตั้งบริษัทฮาเว่นโคซึ่งให้บริการฝากฐานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตอีก ด้วย (จ่ายเพียง 16 ยูโร (ประมาณ 790 บาท) คุณก็จะกลายเป็นลอร์ดหรือเลดี้ของซีแลนด์ได้ในทันที

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1987 อังกฤษได้ประกาศขยายอาณาเขตทางทะเลของตน จากเดิม 3 ไมล์ทะเล (ประมาณ 5.5 กิโลเมตร) ไปเป็น 12 ไมล์ทะเล (ประมาณ 22 กิโลเมตร)
ซึ่งการขยายอาณาเขตนี้จะทำให้ซีแลนด์ถูกล้อมโดยเขตแดนของอังกฤษจากทุกรอบ ด้าน หากเมื่อหนึ่งวันก่อน ในวันที่ 30 กันยายน ซีแลนด์ได้ชิงประกาศขยายอาณาเขตทางทะเลของตนไปเป็น 12 ไมล์ทะเลเช่นกัน
ซีแลนด์จึงรอดจากสถานการณ์ดังกล่าวมาได้อย่างหวุดหวิด
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของประเทศ

- ซีแลนด์มีประชากรเพียง 4 คนก็จริง แต่มีทีมฟุตบอลประจำชาติอยู่ด้วย หากเนื่องจากไม่ได้เข้าร่วม FIFA หรือ UEFA จึงไม่สามารถลงแข่งในการแข่งข ันอย่างเป็นทางการได้ นอกจากนี้ยังเคยส่งนักกีฬาไปร่วมการแข่งขันต่างๆหลายครั้ง (เคยได้เหรียญเงินสองเหรียญจากการแข่งกังฟูระดับโลกที่แคนาดาในปี 2007)

- 23 มิถุนายน 2006 ระหว่างที่เจ้าชายรอย เบทส์และครอบครัวไม่อยู่ในซีแลนด์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งมีอายุมากแล้วได้เกิดช้อทจนกลายเป็นเพลิงไหม้ขึ้น ในเดือนถัดมา ซีแลนด์จึงทำการซ่อมแซมภายในและเปลี่ยนระบบไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด
(ขณะเกิดไฟไหม้ อังกฤษได้ส่งคนไปช่วยทหารซึ่งเฝ้ายามอยู่เพียงคนเดียวในซีแลนด์ด้วย...เจริญ )

- ซีแลนด์ได้ประกาศขายดินแดนของตนในหนังสือพิมพ์เดย์ลี่เทเลกราฟประจำวันที่ 8 มกราคม 2007 โดยตั้งราคาอยู่ที่ 65 ล้านยูโร - 504 ล้านยูโร แต่เนื่องจากไม่ใช่การขายกรรมสิทธิ์ในประเทศ จึงไม่ใช้คำว่า sale แต่เป็น transfer แทน

- ในเดือนเดียวกัน The Prirate Bay ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตจากสวีเดนได้แสดงเจตจำนงค์ในการ ซื้อ โดยกล่าวว่าต้องการจะสร้างซีแลนด์ให้เป็นประเทศที่ปลอดจากกฏหมายลิขสิทธิ์ ทั้งหมด


http://atcloud.com/stories/25722