โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
ราว 20 ปีมานี้ในวงการศาสนศาสตร์และพันธกิจวิทยาในโลกมีการพูดถึงกระแสของคำสอน บางอย่างที่ได้รับความนิยมมากในคริสตจักรทั่วโลก เพราะเป็นคำสอนที่ผู้คนชอบมาก และสามารถดึงดูดคนจำนวนมากให้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์
ในภาษาอังกฤษ เรียกคำสอนนี้เป็นศัพท์เฉพาะทางศาสนศาสตร์ว่า “Gospel of Weath” (กอสเปิ้ล ออฟ เวลธ์) หรือ “Gospel of Prosperity” (กอสเปิ้ล ออฟ พรอสแพริที่) เรียกเป็นไทยๆว่า “ข่าวประเสริฐแห่งความมั่งคั่ง” หรือ “ข่าวประเสริฐแห่งความรุ่งเรือง”
คำสอนนี้บอกว่า หากคุณเชื่อในพระเยซูแล้วจะได้รับความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง โดยเฉพาะทางด้านการเงิน และบ่อยครั้งที่รวมไปถึงว่า จะมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วยด้วย
คำสอนนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจริงๆ ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ผู้ที่เทศนาแนวนี้จะได้รับความนิยมชื่นชอบอย่างมากทั่วโลก โบสถ์ที่สอนแนวนี้จะดึงดูดคนได้เป็นจำนวนมาก สร้างอาคารโบสถ์ใหญ่โต จนถึงกับมีรายการทีวีของตนเอง ซึ่งก็มักจะตามมาด้วยการได้รับเงินถวายทรัพย์เป็นจำนวนมากด้วย ยังไม่นับยอดจำหน่ายหนังสือและเทปซึ่งทำเงินได้เป็นจำนวนมากเช่นกัน
แต่ต่อมาผู้ที่สอนคำสอนนี้ก็เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าในสหรัฐและทั่วโลก อย่างหนักว่าถูกต้องตามคำสอนของพระคัมภีร์จริงหรือ เริ่มมีการตรวจสอบจากสื่อมวลชนและการล้อเลียนจากวงการบันเทิง แต่คนที่เชื่อก็เชื่อ แต่ระยะหลังคำสอนนี้ก็เริ่มเสื่อมความนิยมไประดับหนึ่งแล้ว เพราะบรรดาผู้ที่สร้างหรือเน้นคำสอนนี้เองก็ถูกพบว่ามีปัญหาเรื่องการเงิน กันมากทีเดียว บางคนถึงขั้นต้องขายทรัพย์สิน ขายโบสถ์ หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยในชื่อของตน เป็นต้น
แต่ในช่วง 4-5 ปีมานี้เริ่มมีคำสอนใหม่ที่คล้ายๆ กันเกิดขึนอีกแล้ว และก็กำลังเป็นที่นิยมมากในสหรัฐ โดยเฉพาะโบสถ์ขนาดใหญ่ และเป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าศิษยาภิบาลของโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา เป็นผู้นำของคำสอนแบบนี้ คำสอนนี้ถูกบัญญัติเป็นศัพท์ว่า “Feel-Good Gospel”

(ฟีล กู๊ด กอสเปิ้ล)แปลเป็นไทยก็อาจเรียกได้ว่า “ข่าวประเสริฐแห่งความสบายใจ” หรือ “ข่าวประเสริฐที่ทำให้รู้สึกดีๆ”
คำสอนนี้คล้ายๆ กันกับข่าวประเสริฐแห่งความมั่งคั่ง แต่ถือว่าพัฒนาล้ำหน้ากว่ามาก ลักษณะเด่นของคำสอนนี้มีดังนี้คือ
1. เทศนาสั่งสอนโดยเน้นให้เป็นที่นิยมชื่นชอบของผู้คนในสังคม
2. ไม่เทศนาสั่งสอนเน้นเรื่องบาป และนรก
3. เน้นว่า “พระเยซูรักคุณ” โดยเฉพาะเป็นรักไม่มีเงื่อนไข หรือ “พระคุณที่ไม่มีเงื่อนไข” รวมทั้ง “ความเชื่อเท่านั้น” “การประพฤติไม่ใช่เรื่องสำคัญ” “ยึดพระคุณ ไม่ยึดพระบัญญัติ” “เชื่ออย่างไรก็ได้อย่างนั้น”
4. เน้นสร้างแรงจูงใจที่จะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ความสำเร็จในสังคม เน้นให้มีความหวังและการได้สมหวังทุกอย่าง มีความสุขความสบายใจ และมีกำลังใจ ตลอดเวลา รวมทั้งเน้น How to หรือวิธีการที่จะทำให้มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขในโลก
5. เน้นพระพรในชีวิตปัจจุบันมากกว่าบำเหน็จบนสวรรค์
6. ไม่แตะเรื่องการเมือง หรือถ้าแตะก็ต้องเลือกอยู่ฝ่ายที่ดูแล้วเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมไว้ก่อน
7. ไม่กระทบประเด็นที่อ่อนไหวเกี่ยวกับความแบ่งแยกทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแยกทางศาสนา เชื้อชาติ สีผิว ฯลฯ
8. นอกจากเรื่องคำสอนแล้ว ก็เป็นเรื่องสไตล์ของการนำเสนอว่า จะต้องทำให้การนำเสนอหรือโบสถ์มีลักษณะของความทันสมัย ตื่นตาเร้าใจ และไม่ดูเป็นพิธีกรรมทางศาสนา
และประเด็นสุดท้ายที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากคือ …ไม่พูดว่า “พระเยซูเป็นทางเดียวที่ช่วยให้รอด” เพราะคนทั่วไปจะไม่พอใจ

คำสอนแนว “ข่าวประเสริฐแห่งความสบายใจ” หรือ Feel-good gospel นี้ราวกับถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสังคมอเมริกันและสังคมเมืองสมัยใหม่โดยเฉพาะ ที่มักมีลักษณะเด่นคือ เป็นสังคมหลากเชื้อชาติศาสนาและวัฒนธรรม เป็นเสรีนิยมและทุนนิยม รวมทั้งเป็นทั้งวัตถุนิยมผสมจิตนิยม
และต้องยอมรับว่า เวลานี้ คำสอนแนวนี้ได้รับความนิยมมากจริงๆ โดยเฉพาะในสหรัฐ ถึงขนาดกล่าวกันว่า นี่คือสูตรสำเร็จของคริสตจักรที่ต้องการจะเติบโตมากๆ และได้รับความนิยมจากมวลชน
แต่ขณะเดียวกัน ผู้ที่สอนคำสอนนี้ก็เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าในสหรัฐและทั่วโลกอย่าง หนักว่าถูกต้องตามคำสอนของพระคัมภีร์จริงหรือ เริ่มมีการตรวจสอบจากสื่อมวลชน และแวดวงนักศาสนศาสตร์และพันธกิจวิทยามากขึ้น
และที่วิจารณ์กันหนักมากก็คือ ครั้งที่ ยอดพิธีกรทีวีอเมริกันที่ชื่อ แลรี่ คิง ได้เชิญศิษยาภิบาลของโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐที่ถูกถือเป็นเจ้าแห่งคำสอน นี้ และถามตรงๆ ตามสไตล์เขาว่า
“คุณเชื่อว่า พระเยซูเป็นทางเดียวที่ช่วยมนุษย์ให้รอดไหม?”
ศิษยาภิบาลชื่อดังผู้นี้ตอบว่า “ผมไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นทางรอดทางเดียว” คำตอบนี้ถูกวิจารณ์มากทีเดียว แต่เขาก็ยังคงเป็นที่นิยมมาก
…เหมือนเดิม
และเหตุผลที่มักถูกหยิบยกเพื่อใช้สนับสนุนแนวคำสอนนี้ก็มักเป็นคำสอนของพระคัมภีร์อย่างเช่น “…ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดเพื่อช่วยคนให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง…” หรือไม่ก็เป็นแนวคิดที่ว่า ถ้าคำสอนนั้นช่วยให้คนรับเชื่อได้ก็ขอบคุณพระเจ้าแล้ว ถือว่าพระเจ้าพอพระทัยแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก…
คำสอนหรือสไตล์ของแนวทางนี้ได้นำมาซึ่งการวิเคราะห์วิจารณ์ทางศาสนศาสตร์และพันธกิจวิทยาอย่างมากว่า… แนวโน้มของคริสตจักรสมัยใหม่ดูจะหันไปทางการเน้นให้ได้ “ปริมาณผู้เชื่อ” จนมองข้าม “ความถูกต้องและครบถ้วนของข่าวประเสริฐ” มากขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่?
และคำถามที่ควบคู่กันไปด้วยคือ แล้ว “ขอบเขตของความพอดีอยู่ตรงไหน?” แค่ไหนคือระดับที่พึงยอมรับได้ และแค่ไหนที่เรียกว่าเกินเลย หรือตกขอบไปแล้ว?
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วปัจเจกคริสเตียนที่ยังคงเชื่อในความถูกต้องและครบถ้วนของข่าวประเสริฐควรปรับตัวอย่างไรในแนวโน้มเช่นนี้?
แต่คำถามที่สำคัญกว่าและสำคัญที่สุดคือ
“แล้วพระเยซูล่ะ พระองค์คิดอย่างไร?”
สวัสดี
fb@ sinchaichao
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น