โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
มีคำถามมาว่า “เนื่องจากเวลานี้คริสตจักรที่ผมอยู่เน้นเรื่องยิวมาก จึงขอเรียนถามอาจารย์ครับว่า ยิวกับคริสเตียนมีความเชื่อเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร?”

ตอบ: แท้จริงแล้วความเชื่อของชาวยิวหรือที่เรียกว่าศาสนายิว ก็คือต้นกำเนิดหรือรากฐานของความเชื่อคริสเตียน แต่มีจุดแยกจากกันที่องค์พระเยซูคริสต์
ในแง่ของผู้ก่อตั้ง ศาสนายิวถือว่าโมเสส ในขณะที่คริสเตียนถือว่า ศูนย์กลางอยู่ที่พระเยซูคริสต์
ในแง่ของพระคัมภีร์
ยิวเรียกคัมภีร์ของตนว่า “ตานัค” (Tanak) แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ โทราห์ หรือเบญจบรรณ (ซึ่งเชื่อว่าโมเสสเป็นผู้เขียน) หนังสือผู้พยากรณ์ และหนังสือบทกลอน (สดุดี ฯลฯ)
นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์อีกเล่มหนึ่งซึ่งเป็นบทอธิบายเพิ่มเติมจากของเดิม เรียกว่า “คัมภีร์ทัลมุด” ทัลมุดเป็นบทอธิบายเพิ่มเติมจากของเดิม แล้วรวบรวมไว้เป็นเล่มเราอาจเรียกว่าอรรถกถา ซึ่งใช้ควบคู่กับของเดิมที่มีอยู่ เรียกว่า “ทัลมุด” (Talmud) เขียนเป็นภาษาอารามาอิค และบางส่วนเขียนเป็นภาษาฮิบรู แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ 1. มิชนาห์ (Mishnah) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายบ้านเมืองและกฎหมายที่เกี่ยวกับสังคม รวมไปถึงกฎหมายครอบครัว และแบบแห่งพิธีกรรม คัมภีร์นี้เขียนเป็นภาษาฮิบรู 2. เจมารา (Gemara) เป็นส่วนที่อธิบายมิชนาห์ และโตราห์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิถีชีวิตของพวกยิวและเป็นตำราเรียนกฎหมายของนักศึกษา โดยเฉพาะคัมภีร์นี้เขียนด้วยภาษาอารามาอิค
สรุปก็คือคัมภีร์ทัลมุด (Talmud) เป็นคำอธิบายและขยายความหนังสือ “โทราห์” (พระคัมภีร์เดิมห้าเล่มแรกของโมเสส) และคำสอนอื่นๆของศาสนายิว คำว่า “ทัลมุดมาจากภาษาฮีบรู תַּלְמוּד” แปลว่า “การสอน หรือการเรียนรู้” ถึงแม้คำว่าทัลมุดนี้ไม่ปรากฏในพระคัมภีร์ แต่นับเป็นวรรณกรรมที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชาวยิว พวกรับบี(ครู)ใช้เวลารวบรวมและบันทึกประมาณ1,000ปี ตั้งแต่สมัยของเอสรา(ปี 444 ก่อน ค.ศ.) ในสมัยพระเยซู พวกฟาริสีสนับสนุนให้นำกฎเกณฑ์ต่างๆ มารวมไว้ในทัลมุด แต่พวกสะดูสีคัดค้านเพราะเห็นว่าควรถือตามโทราห์ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ชาวยิวส่วนใหญ่เชื่อกันว่า คำอธิบายและคำสั่งสอนของพวกบรรพบุรุษที่บันทึกในทัลมุดนั้นควรค่าแก่การเชื่อถือและปฏิบัติตาม
ทำไปทำมา ทัลมุดทั้งที่ไม่ใช่พระคัมภีร์ แต่ทัลมุดซึ่งบรรดาอาจารย์ยุคหลังเขียนอธิบายเพิ่มเติมนี้ กลับได้มีอิทธิพลต่อชีวิตชาวยิวอย่างมากที่สุดจนครอบคลุมชีวิตชาวยิวในทุกด้านมากกว่าพระคัมภีร์เดิมเสียอีก
(หมายเหตุ : ต้องอธิบายความเป็นมาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทัลมุดว่า ในสมัยโบราณ บรรดาธรรมาจารย์ของอิสราเอลจะอธิบายบัญญัติของโมเสส แล้วสอนลูกศิษย์ให้ท่องจำคำอธิบายเหล่านั้นสืบต่อกันมาเป็นรุ่นๆ จนกระทั่งในราวปี200ก่อน คริสตกาล จึงเริ่มบันทึกเป็นหนังสือที่เรียกว่า”มิชนาห์ (Mishnah)”แปลว่า”การพูดซ้ำๆ หรือ การท่องจำ”
ในมิชนาห์นั้นมีการอธิบายและประยุกต์ธรรมบัญญัติเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ธรรมบัญญัติห้ามทำงานในวันสะบาโต ก็ต้องมีการกำหนดกันว่าสิ่งใดบ้างคือการทำงาน หนังสือมิชนาห์จึงถูกเรียกว่า “หลักเหล็กของโทราห์” เพราะกำหนดวิถีชีวิตของชาวยิวในการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ วรรณกรรมที่เรียกว่ามิชนาห์รวบรวมเสร็จในราวปี ค.ศ.150 ต่อมาในช่วงปีค.ศ.250-500 บรรดารับบี(ครู)ได้ทำการอภิปรายและตีความหมายคำสอนในมิชนาห์อีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเขียนเป็นหนังสือชุดใหญ่ เรียกว่า”ทัลมุด”
ทัลมุดมีสองฉบับคือ “ทัลมุดแห่งบาบิโลน” และ “ทัลมุดแห่งเยรูซาเล็ม” แต่ฉบับบาบิโลนมีรายละเอียดมากกว่า จึงถือว่าเป็นฉบับมาตรฐานในสมัยต่อมา)
ทัลมุดเป็นวรรณกรรมชุดใหญ่มาก มี36 เล่ม แต่ละเล่มหนาประมาณ1,000 หน้าซึ่งสอนเกี่ยวกับวิชาต่างๆโดยพิจารณาจากแง่มุมของโทราห์ เช่นเรื่องเทศกาลต่างๆ กฎเกณฑ์เรื่องอาหารและวันสะบาโตการปกครองบ้านเมือง ชีวิตสมรส และเรื่องอื่นๆ หนังสือทัลมุดจึงเป็นกรอบที่ครอบคลุมชีวิตทุกด้านของชาวยิว
บัญญัติในทัลมุดควบคุมชีวิตอย่างละเอียดมาก จนกระทั่งกลายเป็น “ภาระหนัก” ของชาวยิว และนี่เองเป็นที่มาของถ้อยคำที่พระเยซูตรัสว่า “บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยเป็นสุข ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:27)
ตรงนี้พระองค์กำลังเน้นเรื่องทัลมุดโดยตรง (รวมไปถึงการถือเคร่งตามพระบัญญัติเดิมตามตัวอักษร)
—
ในเรื่องหลักความเชื่อ
สิ่งที่เป็นจุดแยกจากกันและไม่อาจรวมกันได้ ระหว่างยิวกับคริสเตียนก็คือเรื่องขององค์พระเยซูคริสต์ ในขณะคริสเตียนถือว่า พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาประสูติในโลก และสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์และเป็นขึ้นจากความตาย
ชาวยิวมิอาจรับเรื่องนี้ได้เลย ศาสนายิวถือว่าพระเยซู เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เป็น “รับบีเยซู” หรือ อาจารย์เยซู เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีองค์เดียวเท่านั้น ไม่อาจสามารถยอมรับเรื่องพระเจ้าตรีเอกานุภาพได้เลย และไม่เชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และฟื้นขึ้นจากความตาย เชื่อมากกว่าว่า พระศพถูกเหล่าสาวกขโมยไป
ที่จริงแล้วชาวศาสนายิวไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับพระเยซูเสียทีเดียว บุคคลที่ศาสนายิวไม่พอใจที่สุดคือ ท่านเปาโล ศาสนายิวถือว่าเปาโลนี่เองที่เป็นผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์ โดยเอารับบีเยซู มาสร้างภาพให้เป็นพระคริสต์ จนผู้คนนับถือกันไปทั่ว และเริ่มแยกศาสนายิวให้เกิดนิกายใหม่ ในที่สุดก็กลายเป็นพวกคริสเตียนขึ้นมา
ศาสนายิวไม่เชื่อเรื่องที่เปาโลได้รับนิมิตระหว่างการเดินทางไปดามัสกัส ที่บอกว่าเห็นแสงสว่างจ้าและพระเยซูมาปรากฏและตรัสกับท่าน แต่อธิบายว่า เปาโลน่าจะเป็นโรคลมบ้าหมู ซึ่งเป็นโรคที่คนยุคนั้นเป็นกันมาก
ในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับความรอด
ต้องเชื่อในพระเจ้าพระยาห์เวห์องค์เดียว และปฏิบัติตามพระบัญญัติ และวันสุดท้าย ดวงวิญญาณทุกดวงจะกลับฟื้นคืนมาใหม่และได้รับการพิพากษาในวันสุดท้าย เชื่อว่าการกระทำของมนุษย์จะได้รับการพิพากษาในวันสุดท้ายแห่งการสิ้นโลก ผู้กระทำดี โดยทำตามบัญญัติ พระเจ้าก็จะทรงนำไปสู่สวรรค์ ผู้กระทำความชั่วจะต้องไต่สะพานลงนรก เมื่อดับจิตดวงวิญญาณจะวนเวียนอยู่ใกล้ร่างเป็นเวลา 3 วัน ได้รับคำพิพากษาว่าจะให้ไปทางใด ก็จะไปทางนั้น สวรรค์มีอยู่ 7 ชั้น และนรกมีอยู่ 7 ชั้น
—
ในแง่หลักปฏิบัติในชีวิต นอกจากพระบัญญัติ 10 ประการที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ยังมีพระบัญญัติอื่นๆ ด้วย เช่นเรื่องการกิน จะเคร่งครัดมากที่ จะไม่รับประทานสัตว์บางชนิด เช่น สัตว์เคี้ยวเอื้องมีกีบที่เท้าไม่ผ่า ถือเป็นสัตว์มีมลทิน เช่น อูฐ กระต่าย กระจงผา และแม้แต่สัตว์ที่เท้ามีกีบผ่า แต่ไม่เคี้ยวเอื้อง บางอย่างก็ไม่ทานด้วย เช่น หมู ถือเป็นสัตว์มลทินเช่นกัน นี่ยังรวมถึงสัตว์น้ำที่ไม่มีครีบและเกล็ด และนกอีกหลายชนิด นกอินทรี แร้ง นกเหยี่ยวหางดำ นกเหยี่ยวหางยาว นกเหยี่ยวเขา นกแก นอกกระจอกเทศ นกนางนวล นกเค้าโมง นกเค้าแมวเล็ก นกค้างคาว นกทึดทือ นกอีโก้ง นกกระทุง นกอ้ายงั่ว นกกระสา นกหัวขวาน และแมลงมีปีกทุกชนิด ไปจนถึงสัตว์ที่ตายเองห้ามรับประทาน เลือดก็ไม่กิน
เรื่องกินนี่ศาสนายิวจริงจังมากกว่าคริสเตียนมากทีเดียว คริสเตียนแม้ว่าจะบอกว่าถือพระคัมภีร์เดิมด้วย แต่ก็ไม่ถือเคร่งในเรื่องกินมากเท่าศาสนายิว
—
ศาสนายิวนมัสการที่ไหนอย่างไร?
เดิมศูนย์กลางการนมัสการของศาสนายิวอยู่ที่พระวิหารที่ถูกสร้างในสมัยกษัตริย์โซโลมอน แต่ต่อมาวิหารได้ถูกทำลายไป จนกระทั่งในภายหลังพวกยิวได้สร้างสถานที่ทำพิธีกรรมตามแบบฉบับของพวกตนเรียก “ธรรมศาลา” ภาษาอังกฤษเรียก Synagogue บางทีคนไทยก็เรียกสุเหร่ายิว โดยแต่ละธรรมศาลาจะปกครองตนเองโดยมีพวก แรบไบหรือรับบี (rabbi) ซึ่งทำหน้าที่เป็นครูอาจารย์ ที่คอยสอนโดยตีความบทบัญญัติ และต้องเป็นบุคคลที่ได้ศึกษาคัมภีร์มา

ในเมืองไทยก็มีธรรมศาลายิวอยู่สองแห่ง

รับไบหรือรับบี ครูอาจารย์ในศาสนายูดาย ลักษณะเด่นคือมีหมวกเล็กครอบศีรษะและไว้เครายาว และมักอยู่ในชุดฟอร์มสีดำ
—
เทศกาลและพิธีกรรมที่สำคัญ
1. วันสะบาโต (Sabbath) ศาสนายิวเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกใน 6 วัน วันที่ 7 พระเจ้าได้สร้างทุกอย่างสำเร็จหมดแล้วจึงหยุดในวันนี้ และให้วันที่เจ็ดเป็นวันที่จิตสงบ เพื่อระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า วันนี้เริ่มตั้งแต่ตอนเย็นพระอาทิตย์ตกของวันศุกร์ไปจนกระทั่งถึงตอนเย็นพระอาทิตย์ตกของวันเสาร์ ชาวยิวจะจัดทำพิธีภายในบ้านด้วยการจุดเทียนและสวดมนต์ จากนั้นจะนำอาหารที่ดีที่สุดมาเลี้ยงกันในตอนเย็นวันศุกร์ แล้วอวยพรด้วยการราดเหล้าไวน์บนขนมปัง พอถึงวันเสาร์ตอนเช้าทุกคนจะเข้า “ธรรมศาลา” (Synagogue) เพื่อฟังธรรม อ่านพระคัมภีร์โทราห์ ชาวยิวอนุรักษ์บางกลุ่มจะถูกห้ามเปิดไฟ ห้ามขับขี่ยวดยานพาหนะ ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามใช้เงิน แต่กระทำจิตให้สงบเหมือนกับการเข้าเงียบหรือการทำสมาธิ
2. เทศกาลอพยพ (Passover) เทศกาลนี้เริ่มในวันที่ 15 ตามปฏิทินของพวกฮิบรู ประมาณเดือนนิซัน (Nisan) ซึ่งอยู่ในราวเดือนมีนาคม ถึงเมษายน เทศกาลนี้มีทั้งหมด 8 วัน การจัดเทศกาลนี้เพื่อระลึกถึงการที่พวกฮิบรูได้อพยพออกจากอียิปต์ พ้นจากความเป็นทาสไปสู่ความเป็นไท เร่ร่อนหาดินแดนที่พระเจ้า ทรงประทานให้ในสองคืนแรกของเทศกาลนี้จะมีการเลี้ยงอาหารภายในครอบครัวอาหารนั้นได้แก่ ขนมปังไม่มีเชื้อ แกะย่าง ผักขม ฯลฯ
3. งานฉลองพืชผลครั้งแรก หรือพิธีชาวูออท (Shavuot) งานนี้กระทำหลังจากเทศกาลอพยพแล้ว 50 วัน ตามปฏิทินของฮิบรูอยู่ในช่วงประมาณเดือน พฤษภาคม ถึง มิถุนายน ซึ่งเรียกว่าเดือนสิวัน (Sivan) เป็นการฉลองให้กับการเก็บเกี่ยว พืชผลในไร่ครั้งแรก ในขณะเดียวกันวันนี้จะตรงกับวันที่โมเสสได้รับบัญญัติ 10 ประการที่ภูเขาซีไน (Mt. Sinai) ชาวยิวจะตบแต่งธรรมศาลา และบ้านเรือนอย่างสวยงาม โดยใช้ดอกไม้ และต้นไม้มาประดับอย่างเต็มที่เพื่อแสดงความอุดมสมบูรณ์ที่พระเจ้าได้ประทานมาให้
4. วันปีใหม่ หรือ รอช ฮาชานาห์ (Rosh Hashanah) หรือวันปีใหม่ยิว นิยมฉลองกันในวันแรก และวันที่สองของเดือนติชเร (Tishre) คือ อยู่ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน ถึง เดือนตุลาคม ในวันนี้จะมีการสวดมนต์และฉลองกันด้วยขนมหวาน เพื่อว่าปีใหม่ที่มาถึงนี้ได้หวานชื่นและได้รับสิ่งที่สมหวัง
5. วันชดใช้บาป หรือวันแห่งการแก้ไขความประพฤติ (The Day of Atonement) ศาสนายิวเรียกวันนี้ว่า “ยม คิปปูร์” (Yom Kippur) และเชื่อกันว่าวันนี้เป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเพราะมีการยกเลิกบาปและคืนดีต่อกัน อีกทั้งเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้สร้างกุศล นิยมฉลองกันในวันที่ 10 ของเดือนติชเร (Tishre) ในวันนี้ชาวยิวจะหยุดงาน หยุดกินอาหาร และไม่ดื่มอะไรทั้งสิ้นแต่จะไปชุมนุมกันที่ธรรมศาลา เพื่อสวดมนต์และอภัยบาปต่อกัน
6. งานพิธีกรรมซุกคอท (Sukkot) เริ่มต้นในวันที่ 15 ของเดือนติชเร แต่เดิมมาเป็นงานฉลองพืชผลในฤดูใบไม้ร่วง ต่อมาได้เป็นการฉลองเพื่อระลึกถึงวิถีชีวิตของยิวที่ต้องอพยพเร่ร่อน และต้องผูกพันชะตาชีวิตอยู่กับพระมหากรุณาของพระผู้เป็นเจ้า พิธีนี้นิยมจัดในบ้านและจำลองสภาพชีวิตที่เคยเดินทางอยู่ในทะเลทราย
7. งานเลี้ยงปูริม (Purim) หรือวันแห่งโชคชะตา (The Feast of Lots) งานเลี้ยงฉลองนี้ตรงกับวันที่ 14 ของเดือน อาดาร์ (Adar) คืออยู่ในช่วงเวลาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมเป็นวันที่ระลึกถึงชัยชนะของพวกยิวที่มีต่อศัตรูนอกศาสนา เป็นวันรื่นเริงวันหนึ่ง ที่มีการแลกของขวัญกันและเลี้ยงฉลองกันด้วยอาหารมื้อพิเศษ นอกจากนี้อาจจะแจกของให้แก่ผู้ยากไร้ด้วย
8. พิธีกรรมเข้าสุหนัต พิธีนี้กระทำเมื่อเด็กชายมีอายุ 8 วัน พวกเขาจะถูกนำเข้าในที่ประชุม จากนั้นผู้ทำสุหนัตซึ่งเรียกว่าโมเฮล (Mohel) จะทำการขลิบหนังหุ้มปลายองคชาติ ในขณะเดียวกันก็มีการสวดมนต์ให้เด็กด้วยจึงจะถือว่าเด็กนั้นได้พ้นบาป
9. พิธีบาร์ มิตซวาห์ (Bar Mitzvah) งานนี้ไม่ใช่เทศกาลประจำปี แต่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตในสังคมยิว กล่าวคือ เด็กชายยิว เมื่ออายุ 13 ปี จะต้องเข้าพิธีเพื่อแสดงว่าพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่หลังจากที่ผ่านพ้นอายุ 13 ปีไปแล้ว ในวันสะบาโตต่อมา เขาจะต้องอ่านพระคัมภีร์ที่ธรรมศาลา และมีโอกาสที่จะได้แสดงสุนทรพจน์ทางศาสนา ในวันนี้จะมีการให้ของขวัญแก่ผู้ที่อายุครบ 13 ปี
10. พิธีแต่งงาน (Kiddushin) พิธีแต่งงานของยิวเรียก “คิดดูชิน” จัดว่าเป็นพิธีที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการเพิ่มผลผลิตตามเจตจำนงของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นการสัญญาระหว่างคน 2 คน ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างซื่อสัตย์ ฉะนั้นจึงต้องมีสักขีพยาน และมอบของมีค่าคือแหวน เพื่อเป็นพยานรักโดยเจ้าบ่าวเป็นผู้ให้แก่เจ้าสาว จากนั้นจึงดื่มไวน์ร่วมแก้วเดียวกัน เสร็จแล้วเจ้าสาวจะทุบแก้ว และมอบเอกสารการแต่งงานให้เจ้าบ่าว
11. พิธีไว้ทุกข์ พิธีนี้เริ่มตั้งแต่ทำศพผู้ตายให้สะอาดแล้วแต่งตัวด้วยชุดขาว จากนั้นนำไปทำพิธีศพให้เร็วที่สุดจึงจะไว้ทุกข์ 7 วันหลังจากทำพิธีฝังศพแล้ว ผู้ไว้ทุกข์ จะต้องนั่งสงบเสงี่ยมภายในบ้านยกเว้นวันสะบาโตจะต้องไปธรรมศาลาเพื่อสวดมนต์ บางแห่งอาจจะไว้ทุกข์อีก 11 เดือน ในการฝังศพนี้จะมีการสลักชื่อบนป้ายหินในสุสาน เพื่อระลึกถึงผู้ตาย และเมื่อครบรอบทุกปีญาติพี่น้องจะต้องไปที่สุสานของผู้ตายเพื่อสวดมนต์ให้
12. พิธีสวดประจำวัน หรืออธิษฐานประจำวัน พวกยิวสวดหรืออธิษฐาน 3 เวลา คือ เวลาเช้า เวลาบ่าย และเวลาเย็น ซึ่งอาจทำที่ใดก็ได้ เพื่อผูกจิตของตนให้เข้าสนิทกับพระเจ้า
—-

ธรรมศาลาแห่งหนึ่ง
ศาสนายิว แบ่งเป็นหลายนิกาย (เช่นเดียวกับทุกศาสนา ) สมัยโบราณก่อนสมัยพระเยซูนั้น ศาสนายิวมีการแบ่งเป็น 3 กลุ่มคำสอนหรือสำนัก พวกแรกคือ ฟาริซี เป็นพวกเชื่อมั่นในลัทธิและจารีตเก่าโดยเชื่อว่าสิ่งที่ปฏิบัติมาก่อนมีความสำคัญยิ่งกว่าจารึกในคัมภีร์ พวกที่สอง ซาดูซี หรือ ซาดดูคูส เป็นพวกศาสนาปฏิรูป ทอดทิ้งการปฏิบัติพิธีกรรมโบราณเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับยุคสมัย และที่สามคือ เอสเสนเนส เป็นพวกที่ประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด ไม่ยอมแต่งงาน ชอบความสงบ ไม่นิยมพลีกรรม ไม่นิยมโรงสวด แต่นิยมบูชาแสงสว่าง เช่นดวงอาทิตย์และ ดวงไฟ
แต่ในปัจจุบันนี้ ศาสนายิวมีนิกายหลักอยู่ 4 นิกาย ดังนี้ นิกายออร์ธอดอกซ์ นิกายปฏิรูป (reformed) นิกายอนุรักษ์นิยม และนิกายบูรณปฏิสังขรณ์
ส่วนสัญลักษณ์ในศาสนานั้น เดิมใช้เครื่องหมายคันประทีป หรือคันเทียน 7 กิ่ง เป็นสัญลักษณ์ แต่ปัจจุบันใช้รูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน 2 รูปเป็นดาว 6 แฉก เป็นสัญลักษณ์
—
ศาสนายิวในปัจจุบันนี้มีศาสนิกที่นับถือศาสนาอยู่ทั้งหมดประมาณ 12-13 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เกือบทั้งหมดอยู่ในประเทศอิสราเอล ในสหรัฐอเมริกามีประมาณ 5 ล้านคนในแคนาดาประมาณ 4 ล้านคน ในทวีปยุโรปประมาณ 3 ล้าน 5 แสนคนและในทวีปเอเชียประมาณ 3 ล้านคน

คันประทีป เรียกว่า เมโนราห์
สวัสดี
fb: sinchaichao