วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความสัมพันธ์ที่เลือกได้


ความสัมพันธ์ที่เลือกได้


         

กว่าที่ชีวิตเราจะก้าวมาถึงจุดที่เรายืนอยู่ทุกวันนี้
เราย่อมต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆมากมาย
ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา
บางคนอาจจะเพียงผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป
ในขณะที่บางคนอาจกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเราที่เราสามารถแบ่งปันได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แน่นอนที่ว่าทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้นมีทั้งเพื่อนที่ดีและไม่ดีปะปนกัน
แต่เราสามารถเลือกได้ว่าเราต้องการที่จะคบเพื่อนแบบไหน

         

ในความสัมพันธ์ฝ่ายจิตวิญญาณนั้นมีความสัมพันธ์เพียง
2
แบบ
เท่านั้น

คือการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงเป็นความสว่าง
หรือการมีความสัมพันธ์กับความมืดหรือเหล่าวิญญาณชั่วทั้งหลาย

ไม่มีใครที่จะอยู่ทางสายกลางโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้
หรือไม่มีใครที่จะสามารถมีความสัมพันธ์กับมารและกับพระเจ้าพร้อมๆกันได้
เพราะ
"พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและความมืดในพระองค์ไม่มีเลย"
1
ยอห์น
1:5
และเราเองจะต้องเลือกที่จะมีความสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งเท่านั้นระหว่างพระเจ้าหรือมารซาตาน












         
สำหรับคนที่ได้มารู้จักพระเจ้า
พระองค์ทรงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่เราเคยพบเจอ
เพราะพระองค์ทรงเปิดเผยทุกสิ่งที่อย่างให้เราได้รู้
พระองค์ทรงตรัสว่า
"เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีกเพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร
แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย
เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา
เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว
"
ยอห์น
15:15
แน่นอน
ยิ่งเราใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์มากเท่าไร
พระองค์ก็จะทรงเปิดเผยพระองค์เองให้เราได้รู้มากเท่านั้น
แต่การสนิทสนมกับพระองค์มากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเอง
ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์ในระดับใด



         
โมเสสเองได้รู้จักพระเจ้าครั้งแรกในขณะที่เขากำลังดูแลฝูงแพะ
แกะ ของพ่อตาของเขาที่ภูเขาโฮเรบ
พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มต้นความสัมพันธ์นี้โดยให้ทูตของพระองค์ปรากฏแก่โมเสสท่ามกลางพุ่มไม้ที่เป็นเปลวไฟ
และเมื่อโมเสสได้เดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อจะดู
พระองค์จึงได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองให้โมเสสได้รู้จัก
"เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า
เป็นพระเจ้าของอับราฮัม
พระเจ้าของอิสอัค
และพระเจ้าของยาโคบ
"
อพยพ
3:6
หลังจากที่โมเสสได้รู้จักกับพระเจ้า
เขาได้พัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์โดยการเชื่อฟังและทำตามพระคำของพระองค์โดยการอธิษฐาน
โดยการพูดคุยกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ
จนพระเจ้าได้ให้โมเสสเป็นมิตรสหายของพระองค์เพียงคนเดียวที่มีโอกาสได้พูดคุยกับพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า
"ดังนี้แหละพระเจ้าเคยตรัสสนทนากับโมเสสสองต่อสองเหมือนมิตรสหายสนทนากัน"
อพยพ
33:11
เช่นเดียวกับเราทุกๆคนที่เชื่อ
พระเจ้าเองเป็นผู้เริ่มต้นในความสัมพันธ์นี้โดยการส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้ลงมาบังเกิดบนโลกและตายเพื่อไถ่บาปผิดของเราทั้งหลาย
พระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นในพันธ์กิจแห่งการคืนดีนี้
และพระองค์เองก็คาดหวังที่จะให้เราทุกคนประพฤติตามแบบอย่างที่โมเสสเคยทำไว้เช่นกัน
โดยการการยอมจำนนและเชื่อฟังพระองค์
โดยการรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มความสามารถ
และโดยการมีสามัคคีธรรมที่ดีกับพระองค์ทุกๆวัน

         

สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า
ความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวที่เขามีคือความสัมพันธ์กับเหล่าวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่บางคนเองกลับไม่รู้ตัวและกำลังถลำลึกในความสัมพันธ์นั้น

ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นความสัมพันธ์ลักษณะนายกับบ่าว
ซึ่งแน่นอนมนุษย์ย่อมอยู่ในสถานะของทาสที่ต้องคอยเชื่อฟังคำสั่งของนาย
และไม่สามารถต่อสู้หรือขัดขืนได้
ดังจะเห็นได้จากชีวิตของชายผู้หนึ่งชาวเมืองเก
-ราซา
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้สวมเสื้อผ้าและถูกจำจองด้วยโซ่ตรวน
ขาดอิสรภาพ
ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้
นอกจากนี้เขายังเป็นที่รังเกียจของคนในหมู่บ้าน
ต้องถูกเนรเทศออกไปจากหมู่บ้าน
และมีเพียงแห่งเดียวที่เขาสามารถพักอาศัยได้ก็คือตามหลุมฝังศพ
ซึ่งควรจะเป็นที่ๆคนตายเท่านั้นอาศัยอยู่
ไม่ใช่ที่สำหรับคนเป็นอย่างเขา
สิ่งนี้ได้สะท้อนถึงชีวิตของผู้ที่ตกอยู่ภายใต้บังคับของเหล่าวิญญาณชั่วว่าจะต้องขาดเสรีภาพและอนาคตเขาจะต้องประสบกับความตายแบบชั่วนิจนิรันดร์อย่างแน่นอน

         

ชายคนนี้ได้มาหาพระเยซูคริสต์
และพระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเขาออกจากการบังคับบัญชาของวิญญาณชั่ว
ได้ทรงประทานชีวิตใหม่ให้กับเขา
ให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อีกครั้งหนึ่ง
ชายคนนี้ได้เลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ผู้ทรงเป็นมิตรสหายที่ดีและทรงสัญญาว่า
"จะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว"
ยอห์น
14:18

         

ความสัมพันธ์แบบไหนที่เรากำลังมีอยู่ในปัจจุบัน
ถ้าหากเรายังไม่รู้ตัว
เราสามารถตรวจสอบได้ว่าความสัมพันธ์นั้นนำไปสู่เสรีภาพหรือการถูกบีบบังคับ
ให้สันติสุขหรือความสิ้นหวัง
เต็มด้วยความชื่นชมยินดีหรือเศร้าหมอง
ทางเลือกเป็นของเราวันนี้และพระเยซูคริสต์ทรงรอคอยเราให้กลับมาหาพระองค์เสมอ

         

"
นี่แน่ะเรายืนเคาะอยู่ที่ประตู
ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตูเราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขาและเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา
"
วิวรณ์
3:20






คุณค่าแห่งรัก







คุณค่าแห่งรัก

         

คำว่า
"รัก"
คงไม่มีใครไม่รู้จัก
ความรักนี้มีอยู่ตั้งแต่โลกถูกสร้าง
ความรักมีอยู่ในคนทุกเพศทุกวัย
แต่คำจำกัดความของคำว่า
"รัก"
ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับวัยและประสบการณ์ที่มีเกี่ยวกับคำๆนี้

สำหรับวัยรุ่นหรือหนุ่มสาวนั้นเป้าหมายของความรักก็คือการที่จะได้คนที่หมายปองมาครอง
มาเป็นแฟน
ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็มีเป้าหมายที่จะถนอมและรักษาชีวิตรักให้มั่นคงและยาวนาน

แต่สิ่งเหล่านี้จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับทัศนคติของเราที่มีต่อคำว่า
"รัก"
เราให้คุณค่าของคำๆนี้มากน้อยแค่ไหน?
บางคนเห็นความรักเป็นแค่ของเล่น
ใช้หลอกผู้หญิง
บางคนจริงจังมากจนหากไม่ได้มาครองจะต้องฆ่าตัวตาย
แต่จริงๆความรักไม่ใช่การให้ได้มาซึ่งบางอย่าง
แต่เป็นการให้ออกไปต่างหาก

ถ้าความรักไม่มีการเสียสละและอดทนนาน
ก็ไม่มีความหมาย













         

แล้วพระคัมภีร์พูดถึงความรักอย่างไร?
"
ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้
ความรักไม่อิจฉา
ไม่อวดตัว
ไม่หยิ่งผยอง
ไม่หยาบคาย
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว
ไม่ฉุนเฉียว
ไม่ช่างจดจำความผิด
ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ
ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น
และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ
และมีความหวังอยู่เสมอ
และทนต่อทุกอย่าง
ความรักไม่มีวันสูญสิ้น
"
1
โครินธ์
13:4-8
         
พระคัมภีร์ตอนนี้ได้กล่าวถึงความหมายของคำว่ารักไว้อย่างครบถ้วน
และเราทุกคนที่เป็นคริสเตียนเราต่างรู้ถึงคุณค่าของความรักนี้ดี
แต่หลายครั้งที่เราพยายามมอบความรักนี้ให้ผู้อื่น
เรากลับถูกปฏิเสธ
กลับถูกมองข้ามไป
ที่กลุ่มเซลล์ผมเคยเล่นเกมๆหนึ่ง
คือให้ทุกๆคนหยิบของที่คิดว่ามีค่าที่สุดที่ติดตัวอยู่ในตอนนั้นออกมาวางไว้ตรงกลาง
แล้วให้แต่ละคนบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงคิดว่าสิ่งนั้นถึงมีคุณค่ากับเราที่สุด
หลังจากนั้นให้เราทุกคนหยิบของที่อยู่ตรงกลางนั้นที่เราคิดว่ามีค่ากับเราน้อยที่สุดออกมา
แล้วให้แต่ละคนให้เหตุผลว่าทำไมเราถึงคิดว่าสิ่งที่เราหยิบมานั้นไม่ค่อยมีค่าสำหรับเรา




         
เช่นกัน
ความรักของเราที่เราคิดว่ามีค่าที่สุด
คนอื่นอาจจะมองไม่เห็นคุณค่าของมัน
ความรักที่ว่านี้ไม่ใช่เฉพาะเพียงแต่ความรักฉันท์หนุ่มสาวเท่านั้น
แต่รวมไปถึงความรักแบบเพื่อนหรือแบบพี่น้องในพระคริสต์ที่รักและห่วงใยกัน
เพราะบางคนอาจจะมองความรักแค่เปลือกภายนอกที่ห่อหุ้มอยู่
ไม่ว่าจะเป็น
หน้าตา ฐานะ
อายุ ระดับการศึกษา
ฯลฯ
แต่อย่างไรก็ตามอย่าให้เราผิดหวังจนทำให้ความรู้สึกที่ดีที่มีให้กันเป็นความรู้สึกในด้านลบ
ให้เรายังคงรักษาความรู้สึกดีๆนี้ไว้
เพราะการให้ก็เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

         

พระเยซูคริสต์เองก็รู้จักความหมายและคุณค่าของความรักนี้ดี
และเช่นเดียวกัน
พระองค์ก็ทรงเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นอย่างไร
พระองค์ทรงรักเราทุกคนมากจนกระทั่งยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย
ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดที่คนๆหนึ่งจะให้อีกคนได้

เพราะเป็นการให้หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่มี
แม้มนุษย์บางคนจะไม่เห็นคุณค่า
คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
แต่พระองค์ก็ยังคงรักเราต่อไปไม่เสื่อมคลาย

และเพราะการที่พระองค์ยังทรงรักเราแบบไม่เสื่อมคลายนี่แหละ
ทำให้เราบางคนยอมจำนนและกลับใจ

เพราะถ้าพระองค์ทรงท้อและหมดรักเรา
วันนี้เราก็คงไม่มีโอกาสรู้จักพระองค์และไม่รู้ว่าความรักที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร