ความสัมพันธ์ที่เลือกได้
กว่าที่ชีวิตเราจะก้าวมาถึงจุดที่เรายืนอยู่ทุกวันนี้
เราย่อมต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆมากมาย
ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา
บางคนอาจจะเพียงผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป
ในขณะที่บางคนอาจกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเราที่เราสามารถแบ่งปันได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แน่นอนที่ว่าทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้นมีทั้งเพื่อนที่ดีและไม่ดีปะปนกัน
แต่เราสามารถเลือกได้ว่าเราต้องการที่จะคบเพื่อนแบบไหน
ในความสัมพันธ์ฝ่ายจิตวิญญาณนั้นมีความสัมพันธ์เพียง
2
แบบ
เท่านั้น
คือการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงเป็นความสว่าง
หรือการมีความสัมพันธ์กับความมืดหรือเหล่าวิญญาณชั่วทั้งหลาย
ไม่มีใครที่จะอยู่ทางสายกลางโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้
หรือไม่มีใครที่จะสามารถมีความสัมพันธ์กับมารและกับพระเจ้าพร้อมๆกันได้
เพราะ"พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและความมืดในพระองค์ไม่มีเลย"
1 ยอห์น
1:5
และเราเองจะต้องเลือกที่จะมีความสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งเท่านั้นระหว่างพระเจ้าหรือมารซาตาน
|
โมเสสเองได้รู้จักพระเจ้าครั้งแรกในขณะที่เขากำลังดูแลฝูงแพะ
แกะ ของพ่อตาของเขาที่ภูเขาโฮเรบ
พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มต้นความสัมพันธ์นี้โดยให้ทูตของพระองค์ปรากฏแก่โมเสสท่ามกลางพุ่มไม้ที่เป็นเปลวไฟ
และเมื่อโมเสสได้เดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อจะดู
พระองค์จึงได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองให้โมเสสได้รู้จัก
"เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า
เป็นพระเจ้าของอับราฮัม
พระเจ้าของอิสอัค
และพระเจ้าของยาโคบ"
อพยพ
3:6
หลังจากที่โมเสสได้รู้จักกับพระเจ้า
เขาได้พัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์โดยการเชื่อฟังและทำตามพระคำของพระองค์โดยการอธิษฐาน
โดยการพูดคุยกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ
จนพระเจ้าได้ให้โมเสสเป็นมิตรสหายของพระองค์เพียงคนเดียวที่มีโอกาสได้พูดคุยกับพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า
"ดังนี้แหละพระเจ้าเคยตรัสสนทนากับโมเสสสองต่อสองเหมือนมิตรสหายสนทนากัน"
อพยพ
33:11
เช่นเดียวกับเราทุกๆคนที่เชื่อ
พระเจ้าเองเป็นผู้เริ่มต้นในความสัมพันธ์นี้โดยการส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้ลงมาบังเกิดบนโลกและตายเพื่อไถ่บาปผิดของเราทั้งหลาย
พระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นในพันธ์กิจแห่งการคืนดีนี้
และพระองค์เองก็คาดหวังที่จะให้เราทุกคนประพฤติตามแบบอย่างที่โมเสสเคยทำไว้เช่นกัน
โดยการการยอมจำนนและเชื่อฟังพระองค์
โดยการรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มความสามารถ
และโดยการมีสามัคคีธรรมที่ดีกับพระองค์ทุกๆวัน
สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า
ความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวที่เขามีคือความสัมพันธ์กับเหล่าวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่บางคนเองกลับไม่รู้ตัวและกำลังถลำลึกในความสัมพันธ์นั้น
ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นความสัมพันธ์ลักษณะนายกับบ่าว
ซึ่งแน่นอนมนุษย์ย่อมอยู่ในสถานะของทาสที่ต้องคอยเชื่อฟังคำสั่งของนาย
และไม่สามารถต่อสู้หรือขัดขืนได้
ดังจะเห็นได้จากชีวิตของชายผู้หนึ่งชาวเมืองเก-ราซา
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้สวมเสื้อผ้าและถูกจำจองด้วยโซ่ตรวน
ขาดอิสรภาพ
ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้
นอกจากนี้เขายังเป็นที่รังเกียจของคนในหมู่บ้าน
ต้องถูกเนรเทศออกไปจากหมู่บ้าน
และมีเพียงแห่งเดียวที่เขาสามารถพักอาศัยได้ก็คือตามหลุมฝังศพ
ซึ่งควรจะเป็นที่ๆคนตายเท่านั้นอาศัยอยู่
ไม่ใช่ที่สำหรับคนเป็นอย่างเขา
สิ่งนี้ได้สะท้อนถึงชีวิตของผู้ที่ตกอยู่ภายใต้บังคับของเหล่าวิญญาณชั่วว่าจะต้องขาดเสรีภาพและอนาคตเขาจะต้องประสบกับความตายแบบชั่วนิจนิรันดร์อย่างแน่นอน
ชายคนนี้ได้มาหาพระเยซูคริสต์
และพระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเขาออกจากการบังคับบัญชาของวิญญาณชั่ว
ได้ทรงประทานชีวิตใหม่ให้กับเขา
ให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อีกครั้งหนึ่ง
ชายคนนี้ได้เลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ผู้ทรงเป็นมิตรสหายที่ดีและทรงสัญญาว่า
"จะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว"
ยอห์น
14:18
ความสัมพันธ์แบบไหนที่เรากำลังมีอยู่ในปัจจุบัน
ถ้าหากเรายังไม่รู้ตัว
เราสามารถตรวจสอบได้ว่าความสัมพันธ์นั้นนำไปสู่เสรีภาพหรือการถูกบีบบังคับ
ให้สันติสุขหรือความสิ้นหวัง
เต็มด้วยความชื่นชมยินดีหรือเศร้าหมอง
ทางเลือกเป็นของเราวันนี้และพระเยซูคริสต์ทรงรอคอยเราให้กลับมาหาพระองค์เสมอ
"นี่แน่ะเรายืนเคาะอยู่ที่ประตู
ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตูเราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขาและเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา"
วิวรณ์
3:20
ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงใช้พวกเราที่เป็นผู้รับใช้พระองค์ ขอให้พระวจนะคำของพระองค์ที่จะนำเราในการรับใช้
ตอบลบนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่พระเจ้าทรงใช้มนุษย์ผู้ต่ำต้อย ให้ทำงานรับใช้พระเจ้า ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ถ้าพระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ สิ่งต่าง ๆ ก็คงจะเสร็จได้อย่างง่ายดาย ไม่ยุ่งยาก แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงไว้ใจพวกเราให้ทำงานของพระองค์ พระองค์จึงทรงเลือกเราให้เป็นผู้รับใช้ ให้ทำราชกิจของพระองค์
"แต่ท่าน ทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์" (1เปโตร 2:9)
เราเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือก เพราะพระเจ้าทรงไว้ใจเรา จึงเลือกเราให้เป็นผู้ทำพระราชกิจของพระองค์ และพระองค์ก็มิได้ปล่อยให้เราทำ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่พระองค์จะทรงร่วมลงทุนลงแรงด้วย
มีผู้ที่เปรียบเทียบถึงการรับใช้พระเจ้าว่า การรับใช้พระเจ้าเป็นเหมือนเป็นการร่วมทุนกับพระเจ้า คนละครึ่ง 50:50 เราลงแรงมากเท่าไร พระเจ้าก็ทรงลงทุนมากเท่านั้นถ้าเราลงทุนน้อย พระเจ้าก็จะทรงร่วมทุนกับเราน้อย แต่หากเราลงทุนมาก พระองค์ก็จะทรงร่วมทุนมากเช่นกัน
แน่นอนว่าการรับใช้ เราจะต้องอธิษฐานก่อน แต่ก็เป็นหน้าที่ของเราที่เราจะต้องเป็นผู้ทำด้วย ถ้าเราขาดพระเจ้า งานก็ไม่เดินและไม่สำเร็จ แต่ถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าก็ไม่ทรงทำเช่นกัน
นี่จึงเป็นสิ่งที่เราจะสามารถสังเกตเห็นได้ คริสตจักรไหนที่ร้อนรน พระเจ้าก็ทรงอวยพรได้อย่างมากมาย พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอย่างมากมาย แต่ถ้าคริสตจ้กรเฉื่อยชา พระเจ้าก็จะมิได้ทรงเคลื่อนไหวมาก
ถ้าเราดูแบบอย่างของพระเยซู เราก็จะเห็นว่า พระองค์ได้ทรงสำแดงแบบอย่างในการเป็นผู้รับใช้ที่ดี
พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ได้รับการทรงเลือกจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า ให้เป็นผู้ที่จะกระทำพระราชกิจของพระองค์ เช่นกัน เราที่เป็นผู้รับใช้ เราก็ได้รับการทรงเลือกจากพระเจ้าเช่นกัน
"มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า "ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด" (ลูกา 9:35)
"14 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ ที่ผ่านฟ้าสวรรค์เข้าไปถึงพระเจ้าแล้ว คือ พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในพระศาสนาของเรา
15 เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจ เหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป
16 ฉะนั้น ขอให้เราทั้งหลายจงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ" (ฮีบรู 4:11)
ุ"68 ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์
69 และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อ และมาทราบแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า" (ยอห์น 6:68-69)
พระเยซูคริสต์เป็นมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ เช่นกัน พระเจ้าทรงเลือกเราให้เป็นปุโรหิต ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
"แต่ท่าน ทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์" (1เปโตร 2:9)
"และท่าน ทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์" (1เปโตร 2:5)
พระเยซูคริสต์ทรงบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงให้เราเป็นชนชาติบริสุทธิ์ ซึ่งคำว่าบริสุทธิ์แปลว่า "แยกออกมา" เป็นการแยกออกมาเพื่อนมัสการพระเจ้า เพื่อพระสิริของพระเจ้า เป็นชนชาติของพระเจ้า เป็นบุตรของพระเจ้า มิใช่เป็นทาส เมื่อก่อนเราเป็นทาสของความบาป เราสามารถที่ย้ายออกจากความบาปมาสู่แผ่นดินของพระเจ้าได้ เพราะเป็นทาสก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนเจ้านายได้ โดยเราสามารถที่จะออกจากการเป็นทาสของบาป และมาเป็นบุตรของพระเจ้าได้ แต่ตรงกันข้าม ถ้าใครเป็นลูกของมาร ก็คงจะไม่สามารถย้ายมาที่แผ่นดินของพระเจ้าได้
" นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับชนชาติอิสราเอล ภายหลังสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะบรรจุพระธรรมของเราไว้ในจิตใจของเขา และเราจะจารึกพระธรรมบัญญัตินั้นไว้ที่ในดวงใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา" (ฮีบรู 8:10)
"แต่พระ คริสต์นั้นทรงซื่อสัตย์ในฐานะพระบุตร ที่ทรงอำนาจเหนือชุมนุมชน อันเป็นครอบครัวของพระเจ้า และเราทั้งหลายเป็นครอบครัวนั้นแหละ หากเราจะยึดความกล้าหาญ และความภูมิใจในความหวังนั้นไว้" (ฮีบรู 3:6)
"34 พระเยซูตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า 'เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ทุกคนที่ทำบาป ก็เป็นทาสของบาป 35 ทาสมิได้อยู่ในครัวเรือนตลอดไป บุตรต่างหากอยู่ตลอดไป' " (ยอห์น 8:34-35)
เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นชนชาติที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อที่เราจะประกาศพระบารมีของพระเจ้า เราไม่สามารถทำพันธกิจของพระเจ้าโดยลำพังได้ พระองค์ไม่ใช้ทูตสวรรค์ในงานที่พระองค์จะทรงใช้มนุษย์ทำ เพราะพระองค์ทรงไว้ใจมนุษย์ แล้วพระองค์จะทรงนำและคอยช่วยเหลือมนุษย์
"แต่ท่าน ทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์" (1เปโตร 2:9)
บางคนอาจจะบอกว่า "ถ้าเราไม่ทำ เดี๋ยวพระเจ้าจะทรงใช้คนอื่นทำ" ซึ่งไม่อยากให้เราคิดอย่างนี้ เพราะถ้าคิดเช่นนี้ เราก็คงจะไม่ทำอะไรสักที เพราะว่าเราก็คงจะคิดว่าเดี๋ยวพระเจ้าจะใช้คนอื่นไปทำแทนเราเอง แต่ให้เราคิดว่า "ถ้าเราไม่ทำ งานของพระเจ้าก็จะยังไม่เสร็จ งานของพระเจ้าก็จะยังไม่เดินหน้า เพราะรอที่เราจะพร้อมที่จะทำ แล้วถ้าเราพร้อมเมื่อไร งานของพระเจ้าก็จะเริ่มเคลื่อน"
พระเจ้าทรงรอมนุษย์มาแล้ว 2000 กว่าปี ตั้งแต่ที่พระเยซูทรงเริ่มพันธกิจของพระองค์มาแล้ว และพระเยซูก็ทรงให้สาวกของพระองค์กระทำพันธกิจต่อ
ก่อนที่พระองค์ฺจะทรงเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์ทรงสอนเหล่าสาวกถึงแผ่นดินสวรรค์ และยังไม่ทรงให้มนุษย์ทำงาน จนกระทั่งวันเพนเทคศเต พระองค์ทรงเริ่มให้มนุษย์กระทำพันธกิจต่อ เพื่อที่จะประกาศข่าวประเสริฐจนสุดปลายแผ่นดินโลก สานต่องานของพระองค์ในโลกนี้
"3 ครั้นพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้น ด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายสี่สิบวัน และได้ทรงสนทนากับเขาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า
4 เมื่อพระองค์ได้ทรงพำนักอยู่กับอัครทูต จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา คือ พระองค์ตรัสว่า "ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ
5 เพราะว่า ยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นาน ท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์" (กิจการ 1:3-5)
พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และพระเยซูทรงเริ่มพันธกิจ พระองค์ได้ทรงเลือกเราทั้งหลาย ที่จะสานต่องานของพระองค์ เป็นพระคุณอย่างยิ่ง ที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงให้เรามีโอกาสที่จะร่วมในพันธกิจของพระองค์
พระองค์ทรงรักษาคนเจ็บป่วย พระองค์ทรงช่วยเหลือคนอ่อนแอ หนุนใจคนท้อถอย ช่วยคนบาป พระองค์มิได้ทรงเพียงแค่อยู่ในวิหาร แต่พระองค์ทรงออกไปและคลุกคลีกับคนบาป เพื่อช่วยเหลือพวกเขา เพื่อสำแดงพระบารมี สง่าราศีของพระเจ้า ดังนั้น งานของพระองค์ ก็คือ ที่เราจะทำพันธกิจดังที่พระเยซูได้ทรงกระทำไว้เป็นแบบอย่างแล้ว พระองค์ทรงใช้เราให้ประกาศอิสราภาพแก่เชลย ปลดปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้อิสระ ประกาศพระบารมีแก่พระเจ้า ช่วยเหลือคน สร้างคน ให้เข้มแข็งในพระเจ้า
สิ่งที่สาวกคงจะรู้สึก ก็คือ แล้วพวกเขาจะทำได้หรือ แต่ พระองค์ทรงให้พระสัญญาแก่เรา ว่าจะทรงอยู่กับเราเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค ว่าจะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่เรา แล้วงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เรา จะสามารถดำเนินไปได้อย่างอัศจรรย์
ถ้าเราขาดพระองค์ เราจะทำอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าหากเราพึ่งพาพระองค์ พระองค์จะทรงเสริมกำลังให้แก่เรา
ผป. วิวัฒน์ วุฒิกุลเจริญวงศ์
สรุปคำเทศนาในการนมัสการประชุมกรรมการเพื่อคุณต้นปี
เมื่อวันที่ 20/02/2009
เรื่อง ท่าทีการรับใช้ ตามอย่างพระเยซูคริสต์